วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

Valata Khaoyai

โรงแรมวาลาตา เขาใหญ่ (Valata Khaoyai) โรงแรมที่เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบบรรยากาศสงบๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ

โรงแรมมีการตกแต่งตามสไตล์อิตาลีเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆเขาใหญ่ อย่าง Palio, Toscana Valley เป็นต้น

เนื่องด้วยโรงแรมอยู่ไกลจากชุมชน และสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่อยากจะพักผ่อนแบบส่วนตัว เพราะโรงแรมค่อนข้างเล็กมาก มีห้องให้บริการเพียง 15 ห้อง แต่มีสวนสวยที่กว้างขวาง ด้วยพื้นที่ของโรงแรมกว่า 20 ไร่ แถมปล่อยสัตว์ต่างๆอย่างเป็ด กระต่าย วิ่งอย่างอิสระใกล้ชิดกับคนมาก ใครพาเด็กเล็กมาน่าจะชื่นชอบ
(แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบสัตว์ โรงแรมนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างยิ่ง)

หน้าหนาวก็มีบริการนอนเต้นท์กลางสวนธรรมชาติด้วย

ห้องพัก (Standard Room)
ภายในห้อง ออกแนว Vintage
ห้องน้ำ
ระเบียงนอกห้อง
ห้องอาหาร

สวนรอบๆโรงแรม
Jogging Way (แต่ที่นั้นเขาเขียน Joking Way)
กระต่ายวิ่งเล่นอย่างอิสระ
บรรยากาศตอนกลางคืน
สรุปภาพรวม (ตามความคิดเห็นของทีมงาน)

สถานที่ตั้ง

โรงแรมอยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว และเข้าซอยลึกเกินไป
หาทางเข้าลำบาก

3/10

พื้นที่ใช้สอย

ห้องพักมีขนาดกลางๆค่อนไปทางเล็ก

5.5/10

บรรยากาศ และ ทัศนียภาพ
บรรยากาศถือว่าดี มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก คนมาพักน้อย แต่บรรยากาศนอกรั้วโรงแรมเป็นไร่ที่ดูร้างๆ


5.5/10

สิ่งอำนวยความสะดวก

ในห้องมีของใช้พื้นฐานทั่วไป, Wifi หลุดบ่อย

5/10

อาหาร และ ภัตตาคาร

อาหารคุณภาพไม่สมกับราคา, ตัวเลือกชุดอาหารเช้ามีจำกัดแค่ 3 เซต

5.5/10

บริการ และ กิจกรรม
กระต่ายเป็นมีความเป็นมิตร และน่ารักดี,
พนักงานบริการถือว่าดีแต่ไม่ถึงกับมืออาชีพ, 
กิจกรรมน้อย ไม่เหมือนที่โฆษณา, 
จักรยานก็เสียไม่มีการซ่อม

5/10

สรุป

4.9/10
โดยรวมถือว่าคุณภาพไม่เหมาะสมกับราคาและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมาก เมื่อเทียบกับโรงแรมในบริเวณใกล้เคียงเช่น Thames Valley หรือ Toscana ที่มีอัตราค่าบริการพอๆกัน แต่ได้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า ห้องพักสวยกว่า อาหารอร่อย และอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆมากกว่า

แผนที่ที่ตั้งโรงแรม

ที่ตั้ง: 555 ม.11 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130
โทร: 044-983-261, 088-709-9675

กลับไปยังหน้า Hotel Review

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

ทำไมถึงอยากสูดโอโซน?

ผมถามก่อน อ่านบทความจนจบแล้วค่อยตอบ ถ้ามีคนชวนไปสูดโอโซนที่ไหนก็ตามคุณจะไปไหม

หลายคนคงเคยเห็นการโฆษณาแหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเป็นทะเล, ป่า, ภูเขา ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ห่างจากความวุ่นวายในเมือง เชิญชวนให้สัมผัสกับโอโซนบริสุทธิ์ เห็นแล้วน่าไปอย่างยิ่ง


ผมถามจริง.....คุณรู้จักไหมว่าโอโซนคืออะไร ทำไมถึงคิดว่ามันดี?

หลายคนเจอคำถามนี้คงตอบไม่ได้

ชื่อมันฟังดูดีมั้ง...คงต้องดีตามชื่อ

ก็มันคืออากาศบริสุทธิ์ที่มีตามธรรมชาติ........งั้นหรอ!!!

มันอาจไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด และชอบใช้กันผิดๆ ก๊าซออกซิเจนมีสูตรทางเคมีว่า O2 ส่วนก๊าซโอโซนมีสูตรทางเคมีว่า O3  

หลายคนคิดว่ายิ่งออกซิเจนหลายอะตอมยิ่งดี ถึงมันอาจใกล้เคียงกันแต่ผลของมันต่างกันมาก

มารู้จักก๊าซเหล่านี้แบบง่ายๆกันดีกว่า

ออกซิเจน (Oxygen) เป็นก๊าซที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตมาก สัตว์ทุกชนิดรวมทั้งคนเราต้องการออกซิเจนในกระบวนการหายใจแทบทั้งนั้น ขาดออกซิเจนไม่กี่นาทีเราก็ตายแล้ว ออกซิเจนในธรรมชาติที่เรารู้จักกันดีก็มาจากพืชที่ให้ออกซิเจนมาจากกระบวนการทางชีวเคมีในพืช ป่าธรรมชาติที่มีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ย่อมมีปริมาณออกซิเจนที่มาก และถ้าออกซิเจนมากก็ยิ่งดีต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์อย่างเรา


โอโซน (Ozone) เป็นก๊าซที่ต่อเติมมาจากออกซิเจน มีความเสถียรน้อยกว่าออกซิเจนจึงมีปริมาณไม่เยอะ แต่มีความสำคัญต่อบรรยากาศโลกมาก เพราะเป็นตัวกรองรังสี UV ที่เป็นอันตรายไม่ให้เข้ามาบนพื้นโลกมาก อีกทั้งยังช่วยให้โลกไม่ร้อนจนเกินไป โอโซนธรรมชาติที่ดีเหล่านี้จะอยู่ในชั้นบรรยากาศที่สูงเหนือพื้นดินมากกว่า 10 กม. แต่ก็มีโอโซนที่อยู่ในระดับต่ำเหมือนกัน เป็นโอโซนอันตราย ผลของมันถ้าไปสูดดมเข้าแม้ในปริมาณต่ำก็ก่อความระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เป็นหอบหืดง่ายขึ้น ปอดมีปัญหา จมูก ตา ก็ระคายเคือง และอาการอื่นๆอีกมากมาย ถ้ารับในปริมาณมากก็ตายได้ โอโซนเหล่านี้หาได้ไม่ยาก ในเมืองอย่างกรุงเทพฯมีให้สูดดมทั่วไปหมด ไม่ต้องเสียเงินไปถึงป่าเขาลำเนาไพรหรอก

คิดให้ดี แล้วก็กลับมาที่คำถามเดิม 
ถ้ามีคนชวนไปสูดโอโซนที่ไหนก็ตามคุณจะไปไหม

กลับไปยังหน้า Travel Blog

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

มิโมซ่า พัทยา

อีกสถานที่หนึ่งที่เหมาะมากสำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปนั้นก็คือ มิโมซ่า (Mimosa) พัทยา

มิโมซ่าเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด "The City of Love เมืองแห่งความรัก" และได้มีการตกแต่งอย่างสวยงาม โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองค์ตามแบบเมืองโกลมาร์ (Colmar) ประเทศฝรั่งเศสติดกับชายแดนเยอรมนี ซึ่งได้ชื่อว่าติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก

นอกจากนั้นที่มิโมซ่าแห่งนี้ยังมีร้านค้า,ร้านอาหารมากมาย และสถานที่ที่เพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างส่วนจัดแสดงสัตว์แปลก และการแสดงคาบาเร่ต์

มิโมซ่าตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรม Ambassador จอมเทียน เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 10.00-22.00น.

ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 150 บาท เด็กสูง 90-120 ซม. 75 บาท ส่วนเด็กสูงไม่เกิน 90 ซม. และผู้สูงอายุเข้าฟรี
ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของทั่วๆไป ไม่ได้มีธีมเข้ากับสถาปัตยกรรมยุโรป
ตึกสูงๆที่เห็นตรงปลายนั้นคือโรงแรม Ambassador
พุ่มไม้ก็เป็นรูปหัวใจ
ลานน้ำพุตอนกลางคืนเค้าว่าจะมีการแสดงที่สวยงาม แต่เราก็ไม่ได้อยู่รอดูหรอกนะ
บางจุดจะมีระเบียงชั้น 2 ที่สามารถเดินขึ้นไปได้
รูปปั้นแบบยุโรป
คลองตรงนี้เค้าก็เลียนแบบเมืองโกลมาร์เหมือนกัน
ก้าบ...ก้าบ...ก้าบ... เป็ดอาบน้ำในคลอง
นักท่องเที่ยวจีนก็เยอะอยู่

มาที่นี่ทั้งที่อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลย คือชมการแสดงคาบาเรต์ ใครที่ไม่เคยดูก็ควรมาลองซักครั้ง เพราะที่นี้ชมฟรี

การแสดงจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยมีรอบ 15.00, 17.00, 19.00, 21.00 น. สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์เพิ่มรอบ 13.00 น. 

รู้สึกว่าเค้าให้ถ่ายรูปได้นะ เพราะทุกคนก็ถ่ายกันเยอะแยะ แต่ขอเตือนคุณผู้ชายว่าถ้าไม่อยากเสียวระหว่างการแสดงก็ควรเลือกที่นั่งหน่อย ทำเลไหนเห็นนักแสดงชัด รับรองว่ามันชัดกว่าที่คุณคิดมากเข้าขั้นระยะประชิด และรู้ๆกันอยู่ว่านักแสดงคาบาเรต์เค้าจะพุ่งเป้าหมายไปที่เพศใด >< ระหว่างการแสดงมีผู้ชายคนหนึ่งถูกนักแสดงทักทายใกล้ๆถึง 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งเหมือนไม่ได้นัดกันด้วย (เป็นที่นั่งอันตรายก็ว่าได้ แต่ไม่บอกแล้วกันว่าที่นั่งตรงไหน 555)
มองไกลๆยังไม่เท่าไหร่ ซูมเค้าไปก็.....ตกใจอยู่เหมือนกัน

ถัดไปก็เป็นอีกจุดนึงที่น่าสนใจคือส่วนจัดแสดงสัตว์แปลก Marine Monsters

ราคาเข้าชมเด็ก 50 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท
หน้าทางเข้า Marine Monsters
ก่อนจะเข้าก็เจอดีเจ พล่ากุ้ง มาถ่ายรายการตามชิดติดดาว
เข้าไปก็เจอนก Sun Conure บินมาเกาะแบบไม่กลัวคนเลย แถมพวกนี้ซนด้วย ชอบแทะนู้นแทะนี้
นกมันจะเกาะแค่บริเวณที่เป็นเสื้อผ้า ถ้าใส่หมวกมันก็จะมาเกาะหัว
หนูตะเภา กับ กระต่าย น่ารักดี
ปลากดถ่ำ จะสังเกตว่ามันไม่มีตา
ซาลามานเดอร์ยักษ์
ที่นี่ยังมีอีกหลายจุดที่เรายังไม่ได้แวะชมถ่ายภาพเพิ่มเติม เพราะกล้องตัวเดียวที่ใช้ทั้งถ่ายรูปและวิดีโอแบตเตอรี่หมด

แผนที่ที่ตั้งมิโมซ่า


รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่ http://www.mimosa-pattaya.com/

กลับไปยังหน้า Thailand (เที่ยวในไทย)

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

เรือหลวงจักรีนฤเบศร

เมื่อพูดถึงกองทัพเรือ ทุกคนย่อมนึกถึงเรือหลวงจักรีนฤเบศร (HTMS Chakri Naruebet) ซึ่งจัดเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเดียวของไทย ถือเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญของกองทัพเรือ

ก่อนอื่นมารู้จักร.ล.จักรีนฤเบศร(หมายเลข 911)กัน เรือลำนี้ต่อขึ้นที่ประเทศสเปน เข้าประจำการเมื่อปีพ.ศ. 2540 เป็นเรือที่สามารถทำภารกิจได้หลากหลาย เนื่องจากเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ สามารถเข้าถึงสถานที่ที่มีภัยพิบัตได้ และยังเป็นฐานบินลอยน้ำสามารถบรรทุกอากาศยานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และระยะทำการของเรือได้ อีกทั้งยังเป็นฐานบัญชาการของหมู่เรือในยามสงครามได้ด้วย

ปัจจุบันแม้ร.ล.จักรีนฤเบศรถูกจัดเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน แต่เนื่องจากขนาดที่ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับเรือบรรทุกเครื่องบินของชาติอื่นๆ ทำให้เครื่องบินที่ประจำการบนเรือได้ ต้องเป็นเครื่องบินที่มีความพิเศษคือน้ำหนักไม่มาก, ขึ้น-ลงทางดิ่งได้คือเครื่องบิน AV-8S Harrier ซึ่งปัจจุบันปลดประจำการแล้ว ทำให้มีแค่เฮลิคอปเตอร์เป็นอากาศยานที่ประจำการอยู่บนเรือเท่านั้น ร.ล.จักรีนฤเบศรจึงมีหน้าที่เสมือนแค่เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขีดความสามารถของเรือลดลงแต่อย่างใด

สำหรับการมาเยื่ยมชมร.ล.จักรีนฤเบศรนั้น เรือจะจอดอยู่ที่ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เรือจะเปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมทุกวัน เวลา 9.00-17.00น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น สำหรับคนที่มาเป็นหมู่คณะให้ทำเรื่องถึงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการก่อน

ข้อปฏิบัติอื่นๆที่ควรรู้ก่อนขึ้นเรือคือ ควรแต่งกายสุภาพ, งดสูบบุหรี่, ห้ามนำอาหารเครื่องดื่ม สัตว์เลี้ยง กล้องวิดีโอ และอาวุธทุกชนิดขึ้นเรือ, ควรชมเรือเฉพาะเส้นทางและบริเวณที่จัดไว้ และทำตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด (ส่วนใหญ่จะชมได้แค่ดาดฟ้ากับโรงเก็บเท่านั้น) และสุดท้ายคือไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติขึ้นเรือ

เพิ่มเติมอีกนิดนึง ผมขอบอกก่อนว่าใครที่จะขึ้นเรือ ต้องทำใจว่านี้เป็นเรือทหารไม่ใช่เรือสำราญ ไม่ได้ถูกออกแบบให้คนทุกเพศทุกวัยใช้ บันไดจะค่อนข้างชันและแคบมาก ต้องระมัดระวังในการเดิน โดยเฉพาะขาลง ผมไปมานี่เจอคณะทัวร์ที่มีคุณลุงคุณป้าเยอะมาก ทำเอาแถวยาวไปถึงดาดฟ้ากว่าจะได้ออกมา

จากนี้เป็นภาพของร.ล.จักรีนฤเบศรในมุมมองของประชาชนธรรมดา
พอดีทางเข้าอยู่ส่วนท้ายของเรือ
มองภายนอกจากโรงเก็บเครื่องบิน ที่เห็นเป็นหลุมนั้นคือบริเวณที่เป็นลิฟท์สำหรับนำอากาศยานขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ สำหรับลิฟท์ในเรือลำนี้มีอยู่ 2 จุดคือ ส่วนท้ายเรือ (ในภาพ) และ ด้านข้างเรือ
ในโรงเก็บก็จะมีเรือเล็กอยู่ 2 ลำ เป็นเรือ LCVP (Landing Craft Vehicle Personnel) เรียกง่ายๆว่าเรือระบายพล สามารถทำภารกิจยกพลขึ้นบก หรืออพยพประชาชนได้
บันไดชันๆที่ผมบอก สงสัยทหารเรือเค้าใช้วิธีสไลด์ลงมาแน่เลย
แต่มันก็ได้อีกฟิลลิ่งนึงนะ ถ้าเราขึ้นลงเร็วๆรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังสงครามตอนเรือถูกโจมตีอะไรประมาณนี้ (คิดไปเองทั้งนั้น)
ปืนกล 20 ม.ม. Rheinmetal ติดตั้งอยู่บนเรือ 4 กระบอก 
ที่เห็นกระบอกขาวๆนี้คือแพชูชีพ
มาถึงดาดฟ้าของเรือ เป็นรันเวย์สำหรับปล่อยอากาศยานขึ้นสู่ฟ้า ที่เห็นตรงปลายสุดรันเวย์จะเชิดขึ้นเพื่อให้เครื่องบิน AV-8S Harrier สามารถบินขึ้นได้ด้วยกำลังตัวเอง เนื่องจากระบบของเรือไม่ได้ใช้การดีดเพื่อช่วยให้เครื่องบิน Take off ด้วยระยะทางสั้นได้เหมือนเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ
อยู่บนนี้ไม่ต้องกลัวตกทะเล เพราะมีตาข่ายอยู่รอบดาดฟ้า
ส่วนที่เห็นยื่นออกมาก็คือหอบังคับการบินของเรือนั้นเอง ทำหน้าที่ควบคุมการขึ้น-ลงของอากาศยานต่างๆ
ส่วนหน้าก็คือสะพานเดินเรือ
ถึงแม้เรือจะจอดเทียบท่า แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารทำงานอยู่ตลอด
เห็นได้ว่าประชาชนยังมาเยี่ยมชมเรือแบบไม่ขาดสาย
ภาพนี้ถ่ายที่ปลายสุดของดาดฟ้าด้านหน้า ที่เห็นนี้คือเรือฟริเกต 2 ลำคือ
ร.ล.พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (461) และ 
ร.ล.พุทธเลิศหล้านภาลัย (462)

ผมก็ขอถ่ายภาพที่ระลึกนิดนึง
วิวจากบนดาดฟ้าเรือ
ช่วงที่ให้ประชาชนเยี่ยมชมจะไม่มีเฮลิคอปเตอร์ประจำการอยู่ ดาดฟ้าและโรงเก็บจึงโล่ง
ปืนกล Rheinmetal อีกกระบอก พอดีตอนนั้นฝนตกปรอยๆ ทหารจึงเอาผ้ามาคลุมปืนไว้
อีกเขี้ยวเล็บนึงของเรือลำนี้คือ อาวุธนำวิถีป้องกันตัวเองระยะประชิดแบบ Mistral เป็นอาวุธต่อสู้อากาศยานที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ป้องกันเรือจากภัยทางอากาศ
ประตูบนเรือ
เจ้าหน้าที่ทหารกำลังดูดฝุ่นดาดฟ้าอยู่ เป็นอีกหน้าที่ที่สำคัญเพราะต้องไม่ให้มีเศษวัตถุที่อาจทำให้อากาศยานเสียหายได้
เปลี่ยนมุมบ้าง
เค้าเรียกรถคนนี้ว่า Crash Crane ใช้ผลักหรือดันอากาศยานบนดาดฟ้าให้ตกทะเล กรณีไม่สามารถควบคุมเพลิงได้
ทางไปยังทางออก
ทางเดินข้างเรือ
ธงราชนาวีท้ายเรือ
ภาพใกล้ๆของอาวุธนำวิถี Mistral
วันที่ผมไปชมเรือมาพอดีมีเรือของสหรัฐอเมริกาเพิ่งมาจอดเทียบท่าได้ไม่นาน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเรือของชาติใด(แต่รู้ว่าไม่ใช่เรือของไทยเพราะร.ล.จักรีนฤเบศรใหญ่ที่สุดของไทย แต่เรือลำนี้ใหญ่กว่าอีก) ตอนเรามาเห็นรถบัสจอดอยู่หลายคัน แล้วมาฝรั่งต่างชาติลงมาจากเรือแต่ไม่ได้แต่งชุดทหาร คงมาพักผ่อนอะไรประมาณนี้ พอดีผมเห็นนายทหารผู้หญิง และนายทหารผิวดำแต่งชุดทหารเรือสหรัฐ เลยรู้ว่าเรือลำนี้ของสหรัฐ

ผมหาข้อมูลภายหลังเลยรู้ว่าเรือลำนี้คือเรือ USS Frank Cable (AS-40) เป็นเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ (Submarine tender) มีหน้าที่สนับสนุนการส่งกำลังเสบียง และซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ ประจำการอยู่ที่เกาะกวม
ป้ายก็บอกว่าเขตหวงห้าม ภาพจึงมีอยู่ไม่กี่มุม
อีกมุมนึง ถ่ายบนดาดฟ้าร.ล.จักรีนฤเบศร
ระหว่างนั้นก็เห็นทหารเรือสหรัฐบนเรือ
แอบถ่ายใกล้ๆ เค้ามองอะไรไม่รู้นานมาก
ภาพสุดท้ายให้เห็นว่าเรือลำนี้ใหญ่มาก
กลับไปยังหน้า Thailand (เที่ยวในไทย)