อ่านวันที่ 1 วันอันวุ่นวาย
วันที่ 2
วันนี้จะเป็นวันแรกที่ได้เที่ยวดิสนีย์แลนด์ เราตื่นมาตอนเช้ากะว่าจะไปถึงก่อนมันเปิดตอน 10 โมงเช้า อาหารเช้าเราไม่ได้กินของโรงแรมเพราะไม่ได้รวมอยู่ในค่าห้อง (เที่ยวต่างประเทศหลายวันก็ต้องประหยัดหน่อย) อาหารเช้าเลยไม่ได้ทาน ก็นั่งเล่นในห้องรอใกล้ๆ 10 โมงค่อยออก เพราะเดินนิดเดียวก็ถึง พอถึงเวลาก็ออกจากห้อง อธิบายตัวโรงแรมอีกนิดนึง คือโรงแรมจะเป็นรูปตัวแอล มีสระว่ายน้ำอยู่ตรงกลาง ที่เหลือก็เป็นที่จอดรถ ใครเอารถมาก็จอดหน้าห้องได้เลย ห้องอาหารไม่รู้มันเปิดรึเปล่า เดินผ่านทีไรข้างในมันมืดๆไม่เคยเข้า กลับมาเรื่องเดิมต่อ ก่อนออกจากโรงแรมผมก็เดินไปที่ตู้ขายน้ำเพื่อจะกดซื้อน้ำมาขวดนึง นี่สังเกตได้คือน้ำเปล่ากับน้ำโค้กมันราคา 1.50เหรียญเท่ากัน คิดเป็นเงินไทยแล้วแพงมาก ผมเลยกดโค้กไปเพราะโค้กมันต้องมีราคามากกว่าน้ำเปล่าอยู่แล้ว มาอยู่อเมริกาเนี้ยผมแทบดื่มแต่โค้กแทนน้ำเปล่าเป็นว่าเล่นเลยก็เพราะราคามันเท่ากัน เสร็จแล้วเราก็เริ่มเดินไปที่ทางเข้าดิสนีย์แลนด์ ใช้เวลาประมาณ 10นาทีก็ถึง
ทุกคนก็เดินไปที่เดียวกันหมด |
เราซื้อตั๋วแบบเข้าได้ 3 วัน วันไหนก็ได้ภายใน 13 วันหลังจากใช้วันแรก ราคา 149 เหรียญต่อคน (ประมาณเกือบๆ 5พันบาทต่อคน) อาจดูแพงมากแต่ทุกอย่างเล่นได้ไม่อั้น ใน 3 วันเราสามารถเข้าส่วนใดก็ได้ของสวนสนุก ดิสนีย์แลนด์ที่นี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ดิสนีย์แลนด์พาร์ค (Disney Land Park) ที่จัดให้มีธีมตามแบบของการ์ตูนดิสนีย์ และอีกส่วนคือแคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ (California Adventure) ส่วนนี้จะเน้นเครื่องเล่นที่แรงกว่าในส่วนดิสนีย์แลนด์พาร์ค แต่วันนี้เราจะเข้าส่วนดิสนีย์แลนด์พาร์คก่อน ตอนเข้าไปเราจะเจอสถานีรถไฟ Main Street U.S.A. ซึ่งจะมีรถไฟวิ่งส่งรอบๆสวนสนุก แต่เรายังไม่ใช้ เราเลือกที่จะเดินทั่วๆก่อน รูปแบบการเดินคือเดินวนขวาตามเข็มนาฬิกา เพราะตัวสวนสนุกมันเป็นวงกลม และจะมีปราสาทเจ้าหญิงนิทราอยู่ตรงกลาง
สถานีรถไฟ Main Street U.S.A. ตกแต่งได้สวยงามมาก |
อนุสาวรีย์ของ Mr.Walt Disney และ Micky Mouse |
ปราสาทเจ้าหญิงนิทรา |
เราก็เดินผ่าน Main Street U.S.A. ซึ่งตกแต่งให้มีตึกสวยงามทั้งสองข้างทาง และที่ดีไปกว่านั้นทุกหลังใช้ได้จริง เป็นร้านขายขนม ขายของที่ระลึกมากมาย ไม่ใช้เป็นแค่ฉากเฉยๆ แล้วเราก็ไปถ่ายรูปตรงอนุสาวร์ของWalt Disneyแล้วก็เดินไปทางซ้ายจะเข้าสู่ Adventureland โซนนี้จะตกแต่งเหมือนอยู่ในป่า ร้านค้าก็ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศ สินค้าก็เป็นแนวเดินป่า เราก็เข้าไปนั่งเครื่องเล่นสุดคลาสิกของที่นี่คือ Jungle Cruise นั่งเรือตามแม่น้ำชมสัตว์ต่างๆที่เป็นหุ่นยนต์ แต่หุ่นยนต์พวกนี้คือต้นแบบที่ใช้กันในสวนสนุกทั่วโลกเลยนะ เค้าทำให้เครื่องเล่นนี้มันดูน่าสนใจก็ตรงที่เรือแต่ละลำจะมีเจ้าหน้าที่คอยขับเรือ บรรยายสิ่งต่างๆ ผมเคยอ่านเจอว่าที่ดิสนีย์แลนด์พนักงานทุกคนคือนักแสดง ผมว่าก็จริง เพราะคนขับเรือคนนี้ไม่ใช่แค่ขับๆแล้วพูดๆ แต่เค้ายังแสดงให้เห็นแบบว่าข้างหน้ามีสัตว์อันตรายทุกคนระวังด้วย มียิงปืนไล่ด้วยก็ทำให้ดูไม่น่าเบื่อ
พอจบจากนี้เราก็ไปใช้บริการหนึ่งของทางสวนสนุกเค้าเรียกว่า Fastpass คือคล้ายๆกับการจองเวลาที่จะเล่นเครื่องเล่นไม่ต้องไปรอคิว เราไปที่ตู้ของเครื่องเล่นที่จะเล่น เสียบบัตรของสวนสนุกแล้วมันจะมีใบบอกเวลามาให้ บริการนี้ใช้ได้ทีละครั้ง แต่ขอบอกว่ามันไม่ดีเสมอไป เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้เล่นตอนไหน เกิดเสียบบัตรตอนเที่ยงได้รอบสองทุ่มนี้ก็ไม่คุ้มนะ พอดีเรามาตอนเช้าคนใช้บริการยังไม่เยอะ เราใช้กับเครื่องเล่น Indiana Jones Adventure Temple of the Forbidden Eye เราได้รอบประมาณ 11 โมงกว่าก็ถือว่าโอเคเลย ดีกว่าไปต่อคิวยาวซึ่งขอบอกว่าถ้าจะต่อคิวเล่นอะไรซักอย่างต้องทำใจว่าต้องรอ 1 ชั่วโมง เพื่อการเล่นประมาณ 5 นาที ระหว่างรอเราก็สามารถไปทำอย่างอื่นได้ ผมก็ไปกิน ไปเดินเล่นแถวๆนั้นและเดินขึ้นไปดูวิวบนบ้านทาร์ซาน พอถึงเวลาเราก็เดินเข้าช่อง Fastpass เลย ทางเดินจะเป็นคนละทางกับทางรอคิวทั่วไปข้างนอก มันจะไปโผล่ข้างในเลย(เครื่องเล่นเป็น Indoor) ถึงใช้บริการนี้ก็ยังต้องรอแถวอยู่ดี เพราะมันแค่ช่วยลดระยะทางกับเวลาที่ต้องรอเท่านั้น รอบๆทางเดินก็จะมีวิดีโอฉาย มีอะไรให้หยิบจับเล่น มีอะไรให้ดูตลอดทาง ช่วยให้ไม่รู้สึกเบื่อระหว่างรอ และแล้วเราก็ได้ขึ้นหลังการรอ 10 นาที เครื่องเล่นนี้จะเป็นรถที่ขยับไปมาได้เหมือนวิ่งไปในทางขรุขระผ่านอุปสรรคต่างๆ ก็เป็นเครื่องเล่นหนึ่งที่ผมชอบ
หลังจากนั้นเราก็เดินเที่ยวเล่นเครื่องเล่นไปทั่วอย่าง Pirates of the Caribbean อันนี้ทำให้ผมงงคือเห็นป้ายมันชี้ไปในตึกเล็กๆหลังนึง ผมคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมาก เสียเวลา แต่พ่อบอกลองเข้าไปดูก่อน เข้าไปเห็นเครื่องเล่นที่เป็นเรือแล่นไปตามรางน้ำ พอได้เล่นปุ๊ปมันเหมือนไปอีกโลกนึง จำได้ว่ามีหัวกระโหลกพูดอะไรซักอย่างจากนั้นก็ปล่อยเรือลงทางลาดทันทีแต่ไม่เปียกนะ สรุปคือนี่ก็เป็นเครื่องเล่นใหญ่อีกชิ้นที่แอบอยู่ในตึกเล็กๆ ดิสนีย์เค้าทำได้ดี เหมือนทุกซอกทุกมุมของที่นี้มีอะไรน่าสนใจหมด แม้กระทั่ง Haunted Mansion ที่ดูภายนอกเหมือนแค่คฤหาสน์หลังนึงที่น่ากลัวๆ แต่ข้างในก็เหมือนไปอีกโลกนึงเหมือนกัน สงสัยเค้าซ่อนทุกอย่างไว้ใต้ดินแน่ๆ
แล้วเราก็เดินไปแถวๆ Frontierland ที่ตกแต่งแบบอเมริกันตะวันตกหน่อย เราก็เล่นแต่เครื่อนเล่นหลักของเค้าคือ Big Thunder Mountain Railroad เป็นรถไฟเหอะเบาๆวิ่งไปตามหุบเขา เหมือนจะเล็กแต่ใช้เวลานั่งนานกว่ารถไฟเหอะที่มีในเมืองไทยแล้วกัน จากนั้นก็ไปเล่น Splash Mountain เป็นเครื่องเล่นที่ให้เรานั่งเรือท่อนซุง ไปตามภูเขา แล้วตลอดทางก็มีเรื่องราวของตัวการ์ตูนจากเรื่องอะไรผมไม่รู้นะ มันจะมีน่ากลัวอยู่จุดนึงคือจุดที่มันจะพุ่งดิ่งลงใต้ดิน อันนี้ชันมาก แล้วพูดตรงๆผมเกือบหลุดลอยออกจากที่นั่งแล้วเพราะมันไม่มีเข็มขัด โดยรวมอันนี้ก็ใช้ได้ นั่งนานดี
แถวนั้นมีอะไรน่าไปดูอีกเยอะแยะ แต่ผมไม่ได้ไปเดินดูเพราะคนเยอะมาก แล้วกลัวว่าจบวันแล้วจะยังเดินไม่ทั่ว ว่าแล้วก็เดินไปที่ Fantasyland โซนนี้มันจะเหมาะกับเด็กๆมากกว่า มันเน้นพวกการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ ทำให้เราไม่ได้วนเวียนแถวนี้มาก แต่ก็เข้าไปนั่งเรือในเครื่องเล่น It's a Small World มันเป็นเครื่องเล่นที่ให้เรานั่งเรือดูหุ่นยนต์เด็กตัวเล็กๆที่แต่งตัวตามแบบประเทศต่างๆ พร้อมร้องเพลงที่อาจฟังแล้วน่ารำคาญนิดนึงแต่ทุกอย่างก็ดูอลังการงานสร้างดี
เสร็จแล้วเราก็เดินไป Tomorrowland โซนนี้จะตกแต่งแบบยุคอนาคต อยู่ในอวกาศประมาณนี้ ตอนนั้นก็บ่ายแล้วเราก็นั่งทานอาหารที่ร้านฟาสฟู้ดร้านนึง ระหว่างนั่งทานก็มีกิจกรรม Jedi Training Academy ( แฟนๆ Star Wars น่าจะรู้จัก) เป็นกิจกรรมสำหรับเด็กในการฝึกเป็นเจไดและใช้ Lightsaber เพื่อที่จะต่อสู้กับ Darth Vader ในตอนท้าย ที่มีกิจกรรมของ Star Wars ก็เพราะใกล้ๆกันจะมีเครื่องเล่นธีม Star Wars ชื่อว่า Star Tours ที่จะพาเราไปอยู่ในยานท่องเที่ยวในอวกาศ แต่กลับต้องหลงมาอยู่ในการรบที่ Endor (Star Wars ภาค 6)
อยู่โซนนี้เราเล่นหลายอย่างมาก เช่น Autopia เป็นรถให้ขับเล่นๆไปตามทางเรื่อยๆ, Buzz Lightyear Astro Blaster อันนี้จะให้เรานั่งรถใช้ปืนของเล่นยิงเป้าไปเรื่อยๆสนุกดี และสุดท้ายอันนี้เป็นรถไฟเหอะในอาคารนี้คือ Space Mountain ซึ่งตอนเย็นๆคนเยอะมาก รอเป็นชั่วโมง ทางเดินก็ตกแต่งดี คล้ายๆพิพิธภัณฑ์อวกาศประมาณนั้น ตัวรถที่เรานั่งจะนั่งได้ 4 คน แล้วรถทุกคันจะมีลำโพงให้เพลงประกอบเพื่อให้ได้อารมณ์มากขึ้น คนกลัวความสูงเล่นอันนี้ได้สบายเพราะมันจะวิ่งอยู่ในความมืดโดยมีลมเย็นมากๆตีหน้า ส่วนตัวผมชอบที่ตัวรถมีเพลงประกอบไม่ให้รู้สึกเหมือนอยู่ในรถที่เกาะกับรางเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คงยังไม่ถึงครึ่งของเครื่องเล่นที่เห็นและแอบซ่อนของที่นี่ ผมก็จะกลับมาเล่นของที่ชอบอีกและ เล่นอันที่ยังไม่ได้เล่นในวันเก็บตก วันนี้เราก็จบวันด้วยการชมพลุปิดท้ายที่มีทุกคืนของ Disneyland
(วันนี้รูปน้อยเพราะมัวแต่เล่นจริงๆ)
จบวันที่ 2 เที่ยว Disneyland อ่านต่อวันที่ 3 เที่ยว California Adventure
พอจบจากนี้เราก็ไปใช้บริการหนึ่งของทางสวนสนุกเค้าเรียกว่า Fastpass คือคล้ายๆกับการจองเวลาที่จะเล่นเครื่องเล่นไม่ต้องไปรอคิว เราไปที่ตู้ของเครื่องเล่นที่จะเล่น เสียบบัตรของสวนสนุกแล้วมันจะมีใบบอกเวลามาให้ บริการนี้ใช้ได้ทีละครั้ง แต่ขอบอกว่ามันไม่ดีเสมอไป เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้เล่นตอนไหน เกิดเสียบบัตรตอนเที่ยงได้รอบสองทุ่มนี้ก็ไม่คุ้มนะ พอดีเรามาตอนเช้าคนใช้บริการยังไม่เยอะ เราใช้กับเครื่องเล่น Indiana Jones Adventure Temple of the Forbidden Eye เราได้รอบประมาณ 11 โมงกว่าก็ถือว่าโอเคเลย ดีกว่าไปต่อคิวยาวซึ่งขอบอกว่าถ้าจะต่อคิวเล่นอะไรซักอย่างต้องทำใจว่าต้องรอ 1 ชั่วโมง เพื่อการเล่นประมาณ 5 นาที ระหว่างรอเราก็สามารถไปทำอย่างอื่นได้ ผมก็ไปกิน ไปเดินเล่นแถวๆนั้นและเดินขึ้นไปดูวิวบนบ้านทาร์ซาน พอถึงเวลาเราก็เดินเข้าช่อง Fastpass เลย ทางเดินจะเป็นคนละทางกับทางรอคิวทั่วไปข้างนอก มันจะไปโผล่ข้างในเลย(เครื่องเล่นเป็น Indoor) ถึงใช้บริการนี้ก็ยังต้องรอแถวอยู่ดี เพราะมันแค่ช่วยลดระยะทางกับเวลาที่ต้องรอเท่านั้น รอบๆทางเดินก็จะมีวิดีโอฉาย มีอะไรให้หยิบจับเล่น มีอะไรให้ดูตลอดทาง ช่วยให้ไม่รู้สึกเบื่อระหว่างรอ และแล้วเราก็ได้ขึ้นหลังการรอ 10 นาที เครื่องเล่นนี้จะเป็นรถที่ขยับไปมาได้เหมือนวิ่งไปในทางขรุขระผ่านอุปสรรคต่างๆ ก็เป็นเครื่องเล่นหนึ่งที่ผมชอบ
สัตว์ใน Jungle Cruise |
หน้าทางเข้า Indiana Jones Adventure Temple of the Forbidden Eye |
แล้วเราก็เดินไปแถวๆ Frontierland ที่ตกแต่งแบบอเมริกันตะวันตกหน่อย เราก็เล่นแต่เครื่อนเล่นหลักของเค้าคือ Big Thunder Mountain Railroad เป็นรถไฟเหอะเบาๆวิ่งไปตามหุบเขา เหมือนจะเล็กแต่ใช้เวลานั่งนานกว่ารถไฟเหอะที่มีในเมืองไทยแล้วกัน จากนั้นก็ไปเล่น Splash Mountain เป็นเครื่องเล่นที่ให้เรานั่งเรือท่อนซุง ไปตามภูเขา แล้วตลอดทางก็มีเรื่องราวของตัวการ์ตูนจากเรื่องอะไรผมไม่รู้นะ มันจะมีน่ากลัวอยู่จุดนึงคือจุดที่มันจะพุ่งดิ่งลงใต้ดิน อันนี้ชันมาก แล้วพูดตรงๆผมเกือบหลุดลอยออกจากที่นั่งแล้วเพราะมันไม่มีเข็มขัด โดยรวมอันนี้ก็ใช้ได้ นั่งนานดี
ยอดภูเขาของ Big Thunder Mountain |
บรรยากาศรอบๆแถวนั่น |
ภายใน It's a Small World |
เสร็จแล้วเราก็เดินไป Tomorrowland โซนนี้จะตกแต่งแบบยุคอนาคต อยู่ในอวกาศประมาณนี้ ตอนนั้นก็บ่ายแล้วเราก็นั่งทานอาหารที่ร้านฟาสฟู้ดร้านนึง ระหว่างนั่งทานก็มีกิจกรรม Jedi Training Academy ( แฟนๆ Star Wars น่าจะรู้จัก) เป็นกิจกรรมสำหรับเด็กในการฝึกเป็นเจไดและใช้ Lightsaber เพื่อที่จะต่อสู้กับ Darth Vader ในตอนท้าย ที่มีกิจกรรมของ Star Wars ก็เพราะใกล้ๆกันจะมีเครื่องเล่นธีม Star Wars ชื่อว่า Star Tours ที่จะพาเราไปอยู่ในยานท่องเที่ยวในอวกาศ แต่กลับต้องหลงมาอยู่ในการรบที่ Endor (Star Wars ภาค 6)
อยู่โซนนี้เราเล่นหลายอย่างมาก เช่น Autopia เป็นรถให้ขับเล่นๆไปตามทางเรื่อยๆ, Buzz Lightyear Astro Blaster อันนี้จะให้เรานั่งรถใช้ปืนของเล่นยิงเป้าไปเรื่อยๆสนุกดี และสุดท้ายอันนี้เป็นรถไฟเหอะในอาคารนี้คือ Space Mountain ซึ่งตอนเย็นๆคนเยอะมาก รอเป็นชั่วโมง ทางเดินก็ตกแต่งดี คล้ายๆพิพิธภัณฑ์อวกาศประมาณนั้น ตัวรถที่เรานั่งจะนั่งได้ 4 คน แล้วรถทุกคันจะมีลำโพงให้เพลงประกอบเพื่อให้ได้อารมณ์มากขึ้น คนกลัวความสูงเล่นอันนี้ได้สบายเพราะมันจะวิ่งอยู่ในความมืดโดยมีลมเย็นมากๆตีหน้า ส่วนตัวผมชอบที่ตัวรถมีเพลงประกอบไม่ให้รู้สึกเหมือนอยู่ในรถที่เกาะกับรางเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คงยังไม่ถึงครึ่งของเครื่องเล่นที่เห็นและแอบซ่อนของที่นี่ ผมก็จะกลับมาเล่นของที่ชอบอีกและ เล่นอันที่ยังไม่ได้เล่นในวันเก็บตก วันนี้เราก็จบวันด้วยการชมพลุปิดท้ายที่มีทุกคืนของ Disneyland
(วันนี้รูปน้อยเพราะมัวแต่เล่นจริงๆ)
จบวันที่ 2 เที่ยว Disneyland อ่านต่อวันที่ 3 เที่ยว California Adventure
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น