วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

เที่ยวอเมริกาด้วยตัวเอง วันที่ 1 วันอันวุ่นวาย

อันนี้จะย้อนอดีตไปนิดนึงตอนผมได้ไปเที่ยวอเมริกาช่วงเมษายน 2552 ครอบครัวผมตัดสินใจที่จะไปอเมริกาเพราะวีซ่าของพวกเราที่มีอายุ 10 ปีกำลังจะหมด ผมเคยไปอเมริกาตอน 6 ขวบ ซึ่งจำอะไรแทบไม่ได้ ไปอเมริกาครั้งนี้ก็พอจะจำอะไรได้หมดแล้ว เราจะใช้เวลาอยู่ที่นั้นประมาณ 10 วัน เราเลือกที่จะไปช่วงก่อนสงกรานต์เพราะค่าตั๋วเครื่องบินจะได้ถูกลงกว่านิดหน่อย ค่าใช้จ่ายตลอดทริปผมจำไม่ได้ แต่เยอะพอสมควร เราไปกันแบบครอบครัว 4 คนก็หลักแสน

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกที่จะไปอเมริกาก็เพราะผมเป็นคนชอบเที่ยวสวนสนุกมาก และอเมริกาก็มีชื่อเรื่องสวนสนุกอยู่แล้ว เราเลือกไปเมืองลอสแองเจลิส (Los Angeles) เพราะผมอยากไปดิสนีย์แลนด์

การเดินทางเราบินด้วยการบินไทยซึ่งตอนนั้นยังมีแบบบินตรง (Non-stop flight) จากกรุงเทพฯไปยังลอสเองเจลิส แต่ปัจจุบันการบินไทยยกเลิกเส้นทางนี้แล้ว

ต่อจากนี้จะเป็นการรายละเอียดของแต่ละวันที่อเมริกา

วันที่ 1
เครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิประมาณ 1 ทุ่มกว่า เครื่องบินเป็นแบบ Airbus A340-500 ซื่งมี 4เครื่องยนต์ ที่นั่งแบบ 2-4-2 (ปัจจุบันรู้สึกเค้าใช้แบบ Boeing 777-300 ER ที่นั่งแบบ 3-3-3) เรานั่งที่นั่งชั้นประหยัดซึ่งอยู่ท้ายเครื่องเลย แต่ก็มีจอทีวีให้ดู ก็ดีสำหรับการเดินทางนานๆ สิ่งที่สังเกตได้คือพนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จะมีอายุหน่อย สงสัยพวกแอร์หนุ่มๆสาวๆเค้าไม่อยากบินนานๆ จากกรุงเทพฯไปเอลเอก็เป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดของการบินไทยด้วยสิ เราใช้เวลาไปประมาณ 14ชั่วโมง แล้วถึงก่อนเวลา เพราะมีลมส่ง (ขากลับลมตี ใช้เวลากลับ ประมาณ 18ชั่วโมง) พอถึงสนามบิน LAX ก็ต้องผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดมาก เจ้าหน้าที่ที่นั้นจะตัวใหญ่ๆกันเยอะ พวกผมไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะถ้าทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวปกติก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าตัวผมเองแอบเอาเฟรชน์ฟรายแมคโดนัลที่ซื้อที่เมืองไทยมากะจะแก้หิวระหว่างบินมา แต่ก็ไม่ได้กิน ในใจก็อยากจะเอาไปทิ้งแต่ตอนนั้นก็ค่ำแล้วหิวก็หิว อยากจะกินตอนถึงโรงแรมแล้ว แต่ต้องผ่านศุลกากรก่อน ตอนอยู่บนเครื่องเค้าจะมีใบให้เขียนแจ้งว่านำอะไรต้องห้ามเข้ามารึเปล่า ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเฟรชน์ฟรายต้องห้ามรึเปล่า เครื่องเอกซ์เรย์ก็ผ่านมาแล้ว เลยตัดสินใจโดนค้นก็โดนค้น ข้างเราจะมีกลุ่มคนจีนที่ด่านตรวจค้นโดนเปิดกระเป๋าแทบทุกคน และคนจีนจะชอบนำพวกพืชต่างๆเข้ามา ก็โดนยึดไป แต่เหมือนกันว่าคนจีนจะเป็นจุดสนใจของเจ้าหน้าที่มากกว่าคนไทย เราเลยไม่โดนค้นกระเป๋า พอผ่านด่านตรวจไป จะมีด่านสุดท้ายคือเจ้าหน้าที่คนเดียวยืนอยู่บนแท่น เราต้องยื่นใบอะไรผมจำไม่ได้ คงเป็นใบเช็คว่าเราผ่านการตรวจเรียบร้อย เจ้าหน้าที่มองหน้าเรามองไปมองมาแล้วพูดว่า "Thank you" นั้นคือจบแล้ว ผมลักลอบนำเฟรชน์ฟรายค้างคืนเข้าอเมริกาได้ สงสัยมันมีทั่วบ้านทั่วเมืองเค้าเลยไม่โดนยึด พอเสร็จแล้วเราก็รอรถ Shuttle bus ของโรงแรมมารับ ซึ่งโรงแรมก็อยู่แถวๆสนามบินแหละ
โรงแรมที่เราพักคืนแรก Travelodge Hotel LAX
ภายในล๊อบบี้โรงแรม Travelodge
พอเช็คอินโรงแรมเสร็จเราก็ไปทานอาหารค่ำที่ร้าน Denny's ซึ่งอยู่ข้างๆโรงแรม อาหารเป็นสไตล์อเมริกันล้วนๆ ซึ่งหมายถึงขนาดจานแบบคนอเมริกันด้วย ขอบอกก่อนเลยจานนึงของเค้าผมกินได้ 2มื้อ แต่คืนนั้นเราไม่ได้สั่งเยอะ เพราะกว่าจะกินก็ประมาณสี่ทุ่ม
ผ่านไปคืนแรกแน่นอนคนเดินทางข้ามโลกย่อมเป็นเจ็ทแล็ก (Jet lag) เจ็ทแล็กคือสภาวะที่ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเวลาและสภาพในต่างแดน อาการที่พวกผมเป็นคือคืนนั้นนอนไม่หลับ เพราะเวลาที่เอลเอมันจะตรงข้ามกับของไทยเลย คือห่างกัน 12ชั่วโมง เทียบง่ายๆเลขเวลาเดียวกันเอลเอกลางคืน ไทยคือกลางวัน

ตอนเช้าก็กินอาหารเช้าที่โรงแรม ถึงไปช่วนเมษาแต่อากาศก็ถือว่าเย็นมากตอนเช้า อาหารที่จัดให้มีแต่ขนมปังเพียงไม่กี่แบบ และกาแฟเท่านั้น ที่นั่งก็ดันอยู่ข้างนอกก็เลยต้องกินแบบคนจนท่ามกลางอากาศหนาวๆ แต่ก็ไม่ถือสาอะไรมากเพราะเป็นโรงแรมเล็ก หลังจากนั้นก็เก็บของเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเพื่อที่จะนั่งแท็กซี่ไป Anaheim ซึ่งเป็นเมืองที่ดิสนีย์แลนด์ตั้งอยู่ เราให้โรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ รถแท็กซี่จะไม่เหมือนรถแท็กซี่ทั่วไป เหมือนกับเป็นรถจ้างเหมาคันมากกว่า เป็นรถสีดำสภาพโอเค มีทีวีหลังเบาะ แต่ค่าใช้จ่ายผมจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่รู้ว่าไม่ถูกเหมือนแท็กซี่บ้านเราแน่
ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเพลินๆ
ใช้เวลาประมาณไม่น่าจะถึงชั่วโมงก็ถึงโรงแรม อันนี้เป็นโรงแรมเล็กๆที่อยู่ข้างดิสนีย์แลนด์เลย สภาพภายนอกก็ธรรมดา แต่ในห้องถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ตอนนั้นเหมือนโรงแรมเพิ่งปรับปรุงใหม่เลยดูสะอาดน่าอยู่ เตียงนี้เป็นเตียงคู่ แต่ไซส์อเมริกันนะคือเตียงนึงคนไทยนอนได้ 2คน สรุปเรามา 4คนไม่ต้องง้อเตียงเสริม ห้องน้ำสะอาด ภาพรวมทุกๆอย่างโอเคมากกับราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกันโรงแรมใหญ่ๆแถบนั้น (ราคาจำไม่ได้ แต่รู้ว่าไม่แพงเกินไป)
ป้ายหน้าโรงแรม The Jolly Roger ที่เราพัก
ห้องพักถือว่าใช้ได้เลย
ห้องน้ำเหมือนทำมาใหม่
พอเก็บของเรียบร้อยเราก็เริ่มสำรวจพื้นที่รอบนอก แล้วก็เดินหาอะไรกินตอนเที่ยง ก็เจอร้านพิซซ่าฝั่งตรงข้ามถนน
ภายในร้านพิซซ่านี้ตกแต่งเก๋ดี นำแผ่นป้ายทะเบียนรถแต่ละรัฐมาติดหน้าเคาท์เตอร์
ใกล้ๆกันก็มีเซเว่นด้วย
ตอนเย็นเราจะไปดูการแสดง Medieval Times เป็นดินเนอร์โชว์ที่มีธีมเป็นแบบยุคที่ยังมีอัศวิน มีปราสาท ประมาณนี้ เราวางแผนว่าจะไปถึงแถวนั้นตอนบ่ายๆ ผมก็เตรียมชาร์จกล้องก่อนแต่พบว่าตัวเองลืมเอาที่ชาร์จกล้องมาด้วย วันนั้นบอกเลยอารมณ์เสียทั้งวัน ตัวเองได้กล้องมาใหม่เพื่อทริปนี้โดยเฉพาะแต่ดันลืมที่ชาร์จก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีกล้อง ก็เลยให้พ่อเป็นคนถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอทริปนี้ทั้งหมดเอง

เราเลือกที่จะให้โรงแรมเรียกแท็กซี่เหมือนเมื่อเช้า ครั้งนี้ได้รถใหม่เอี่ยม เป็นรถเชฟวี่สีดำ ตอนผมขึ้นคนขับให้ไปนั่งแถวหลังที่เด็ก (ตอนนั่นผมขึ้นม.3คงดูน่าเด็กละมั๊ง) กฏหมายของอเมริกาคงบังคับให้ทุกคนบนรถคาดเข็มขัดนิรภัย เพราะคนขับบอกให้คาดด้วย 
ที่เราเลือกจะไปถึงก่อนเพราะเราหาข้อมูลมา มันบอกว่าแถวนั้นมีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Movieland Wax Museum เราก็เลยอยากไปเดินดูก่อน แต่คนขับบอกว่ามันย้ายไปอยู่ฮอลลีวูดแล้ว บอกช้าไปสินะเรียกเค้ามาแล้ว เค้าเลยไปส่งที่สวนสนุกใกล้ๆชื่อ Knott's Berry Farm เป็นธีมปาร์คแห่งแรกของอเมริกา แต่เราได้แต่เดินดูรอบๆภายนอก เห็นร้านไก่ทอดของที่นี่คนต่อคิวเยอะมาก ผมอยากเข้าไปในสวนสนุกแต่มันคงไม่คุ้มเท่าไหร่ ตอนนั้นแบบไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ เราเลยเดินไปที่ที่เราจะไปดูโชว์ ตอนบ่ายๆเค้ายังไม่เปิดให้เข้า เค้าจะเปิดตอนเย็น แต่เราไม่มีที่ไปจริงๆ เลยขอพนักงานเค้าไปนั่งรอข้างใน พนักงานเลยให้เข้าไปอยู่ในบาร์ข้างใน พวกเราก็นั่งอยู่ในนั้นรอเค้าเปิด ผมก็หลับไปด้วยเพราะยังไม่หายเจ็ทแล็ก
ทางเข้า Knott's Berry Farm
รูปปั้นข้างๆ โรงละคร Medieval Time
ภายในมีชุดเกราะอัศวินอยู่เต็มทางเดิน
พอถึงเวลาเปิด ออกมาที่ทางเข้าคนเยอะมาก เค้าให้รอที่ประตูที่ตกแต่งแบบโบราณ จากนั้นประตูก็ถูกเปิดโดยมีนักแสดงหลักที่แต่งตัวเป็นอัศวินต้อนรับด้วยเสียงที่เข้มแข็งเป็นเอกลักษณ์มาก แล้วก็ให้เราเข้าไปถ่ายรูปข้างใน เค้าจะจัดว่าเราอยู่สีอะไรด้วย เป็นสีบอกทีมว่าเราอยู่ทีมอะไร เราอยู่ทีมสีเขียว ก็จะมีธงมีมงกุฏทำจากกระดาษบอกทีมเราให้ ภายในก็มีการตกแต่งเหมือนอยู่ในปราสาท แล้วก็มีการพูดกล่าวของนักแสดงนิดๆหน่อยๆ พอเค้าเปิดให้เข้าไปในพื้นที่การแสดงจะมีระบุเลยว่าสีอะไรนั่งตรงไหน พอโชว์เริ่มขึ้น พนักงานก็เสริฟอาหารไประหว่างเราดูโชว์ สีทีมที่เค้าแบ่งคือทุกทีมจะมีอัศวินเป็นของตัวเองแล้วจะมาต่อสู้กับทีมอื่น สิ่งที่สังเกตได้คือคนอเมริกันเชียร์กันแบบเอาจริงมาก เค้าอินไปกับโชว์จริงๆ เราคนไทยก็แค่โบกธง ดูไปแล้วโชว์นี้ทำได้ดีมาก ทุกอย่างดูลงตัวดี ทั้งนักแสดงและม้ามีการฝึกอย่างดี ผมขี่ม้าเป็นกีฬาจะรู้ดีว่าต้องฝึกหนักขนาดไหน เวลาผ่านไปโชว์ใกล้ถึงจุดที่น่าลุ้นของทีมสีเขียวเพราะเหลืออัสวิน 2คนสุดท้ายคืออัสวินสีเขียวที่หัวล้านมีเคราและอัสวินสีแดงที่ผมบลอนดูเป็นพระเอก แน่นอนผลลัพท์คืออัสวินสีแดงชนะก็ได้เจ้าหญิงไป ส่วนอัสวินสีเขียวทีมเราเป็นตัวร้ายซ่ะงั้น โดยรวมโชว์นี้สนุกมาก อาหารอร่อย ราคารวม 4คนก็ประมาณ 200เหรียญถือว่าคุ้มค่า


วิดีโอบรรยากาศของโชว์นี้ (ภาพไม่ค่อยชัดเพราะเป็นของเก่ามากแล้ว)


แล้วตอนกลับก็มีปัญหานิดหน่อยคือแท็กซี่คันเดิมที่จะพากลับโรงแรมดันไม่มารับ ตอนนั้นพ่อก็ออกไปหาโทรศัพท์สาธารณะหาแท็กซี่ ทิ้งผม, แม่ และน้องรออยู่ที่ทางเข้า แต่และรถสีดำคันนึงคนขับเป็นผู้หญิงเปิดกระจกก็ถามเหมือนรู้ว่าเป็นพวกเราว่าจะไปโรงแรม Jolly Roger ใช่มั๊ยผมกับน้องก็ขึ้นไปรอที่รถ แม่ก็ออกไปตามหาพ่อ เราก็ไม่มีโทรศัพท์กันด้วย เราก็รอ คนขับถามแม่ไปที่ไหน เราก็ตอบไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลับมา โชคดีที่คนขับเจอพวกเราง่ายไม่งั้นคงวุ่นไปกว่านี้ 

จบวันแรกอันแสนวุ่นวาย อ่านต่อวันที่ 2 เที่ยว Disneyland 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น