วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองคนเดียววันที่ 1 บุกโตเกียวครั้งแรก



วันที่ 1 บุกโตเกียวครั้งแรก
เมื่อพูดถึงประเทศที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุด แน่นอนว่าญี่ปุ่นต้องเป็นตัวเลือกแรกๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่อากาศดี บ้านเมืองสะอาดสวยงาม ทันสมัย ผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย ปลอดภัย และเดินทางสะดวกมาก จึงทำให้แอดมินเกิดความคิดที่จะลองไปญี่ปุ่นซักครั้งนึงในชีวิต ซึ่งครั้งนี้ก็มีความพิเศษแตกต่างจากการไปเที่ยวครั้งก่อนๆคือ เป็นการไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก แน่นอนว่ามันยากอยู่แล้วสำหรับคนอายุแค่ 20 ปี แต่ก็เป็นความท้าทายที่หาได้ยากในชีวิตวัยรุ่น แอดมินจึงเริ่มวางแผนให้ทริปนี้คุ้มค่าที่สุด โดยค่าใช้จ่ายต้องเดือดร้อนครอบครัวน้อยที่สุด (ทริปนี้ 7 วันใช้งบ 40,000 บาทเท่านั้น) เราออกเงินเอง 80% จากการทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ แต่ด้วยจำนวนเงินที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะอยู่ได้ เลยจะกระจายค่าใช้จ่ายให้ดูคร่าวๆ (เน้นเฉพาะค่าใช้จ่ายใหญ่ๆ)
  • ตั๋วเครื่องบิน Thai AirAsia X ไปกลับ  DMK-NRT 7,000 บาท + KIX-DMK 6,000 บาท รวม 13,000 บาท (ราคานี้ปัดเลขขึ้นให้เป็นจำนวนเต็ม)
  • โรงแรม 2 แห่ง (3 คืน/แห่ง) 5,840+3,380 = 9,220 บาท
  • ตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass 7,605 บาท
  • อีกหมื่นกว่าบาทเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปที่สามารถแปรผันได้ เช่นค่ากิน ค่าช้อป
  • อินเทอร์เน็ตใช้ Free Wi-Fi ตามสถานที่ต่างๆ
จะเห็นได้ว่าเงินแค่นี้เราก็สามารถอยู่ญี่ปุ่นได้เป็นสัปดาห์ แต่แอดมินต้องจำเป็นประหยัดค่ากิน โดยไม่กินหรู เน้นรวดเร็ว เพราะเวลามีจำกัดต้องเที่ยวหลายที่ 
เมื่อเทียบราคาดูแล้วคุ้มค่ากว่าซื้อทัวร์หรือไปเป็นกลุ่ม เพราะเที่ยวคนเดียวสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ยิ่งเป็นผู้ชายเรื่องช้อปปิ้งแทบจะไม่มีในหัวเลย (ยกเว้นขนม)

วิธีการประหยัดค่าใช้จ่ายใหญ่ๆ เริ่มจากการวางแผนทริปโดยการรอโปรของแอร์เอเชีย ซึ่งจะได้ในราคาถูกเมื่อจองเนิ่นๆ จากนั้นก็จองโรงแรมผ่านเว็บ booking.com ล่วงหน้าเหมือนกัน หาราคาถูกๆ เราจองห้องคนเดียวเลยไม่ประหยัดเท่านอนห้องรวมหรือแชร์ห้องกับใคร เราต้องการความเป็นส่วนตัวก็ยอมจ่ายแหละ ส่วนการเดินทางใช้รถไฟ JR เป็นหลัก โดยใช้ Japan Rail Pass ที่ซื้อล่วงหน้าจากไทยตอนที่เขาจัดโปรโมชั่นอยู่จึงได้ราคาที่ค่อนข้างถูก รายละเอียดของ Japan Rail Pass คลิ๊กที่นี่
หน้าตาบัตรแลก Japan Rail Pass ได้เมื่อซื้อจากไทย แล้วต้องไปแลกเป็นตั๋วจริงที่ญี่ปุ่น
ก่อนซื้อก็ได้วางแผนแล้วว่าเดินทางคุ้มค่าแน่นอน ตั๋วนี้ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เยอะเลย

เข้าเรื่องแล้ว....ทริป 7 วันนี้แบ่งเป็นอยู่โตเกียวกับโอซาก้า อย่างละ 3 วันครึ่ง เดินทางคืนวันที่ 18 พ.ค.- 25 พ.ค. 2558 โดยใช้สายการบิน Thai AirAsia X ขาไปใช้เที่ยวบิน XJ 600 ออก 23.45น. ไปลงที่ท่าอากาศยานนาริตะ 8.00น. เวลาญี่ปุ่น 
ตัวเครื่องบินเป็นรุ่น Airbus A330 แบ่งที่นั่งเป็น 3-3-3 โชคดีที่เราได้นั่งริมหน้าต่างแถมผู้โดยสารไม่เต็ม ที่นั่งข้างๆเลยว่างพอมีที่ยืดขาได้นิดหน่อย ใครเคยขึ้น Low Cost จะเข้าใจดีว่า Low Cost ที่นั่งติดกัน และแคบมาก (ก็จ่ายน้อยเองหนิ) 
มุมบังคับ
จำนวนผู้โดยสารมีแค่ประมาณ 3/4 อาจเป็นเพราะคนไม่นิยมไปช่วงนี้
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สบายนัก เลยหลับๆตื่นๆอยู่หลายรอบ จำได้ว่าตื่นมาครั้งนึงเปิดหน้าต่างดูข้างนอกยังมืดอยู่แต่เห็นแสงสว่างจากพื้นซึ่งเป็นเมืองใหญ่พอสมควร มีแม่น้ำผ่านชัดเจน มารู้อีกทีตอนกลับไทยมาเปิด Google Earth ดูถึงรู้ว่าเมืองที่เห็นคือ เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน คือมองบนฟ้าตอนกลางคืนมันสวยมาก เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ หลังจากนั้นก็หลับๆตื่นๆเหมือนเดิม จนกับตันประกาศว่าจะลดระดับแล้วจึงพยายามทำตาให้สว่างเพราะตำแหน่งเรา (ที่นั่ง A) จะเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดเจน แต่พอเปิดหน้าต่างปุ๊ป เมฆดำบังมิดเลย เช้าวันนั้นฝนตกเลยอดเห็นภูเขาไฟฟูจิเลย
แล้วเครื่องก็ Landing ถึงญี่ปุ่นก่อนกำหนด 15 นาที วันนั้นเป็นเช้าที่ฝนตกหนัก อากาศเย็นมาก 19 องศาเลยทีเดียว เล่นเอาปรับตัวไม่ทันเพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เรายังอยู่ในอุณหภูมิเกือบ 40 องศาอยู่เลย
ภาพแรกของคนญี่ปุ่นที่พบคือมีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นชายวัยกลางคนถึงสูงอายุทั้งนั้น โอ้ว...เห็นแล้วก็สงสารเหมือนกัน แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้นเอง
แล้วถึงจุดตื่นเต้นที่สุดของวันคือ ผ่านตม. นั้นเอง เอาเข้าจริงๆมันง่ายมากๆเลย แค่ทำตัวปกติ กรอกใบตม.ตามจริง เตรียมเอกสารการเดินทางพร้อม จบ... เขาไม่ถาม ไม่ตรวจอะไรเลย ทั้งตม.และศุลกากร ถ้าเราไม่มีอะไรที่จะต้องสำแดงอะไร ก็ผ่านได้แบบสบายๆ (ตม.อเมริกายังน่าตื่นเต้นกว่าเยอะ)
เมื่อออกมาได้จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋วทั้งรถไฟ รถบัส เพื่อเข้าไปยังหลายๆส่วนของโตเกียวและเมืองรอบๆ
พอพ้นด่านศุลการกรเราก็เป็นอิสระแล้ว! สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือแลกตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass ที่ออฟฟิศ JR ซึ่งออกมาเลี้ยวขวาลงบันไดเลื่อนชั้นเดียวก็ถึงแล้ว (เราอยู่เทอร์มินอล 2 นะ พวกการบินไทยลงเทอร์มินอล 1 ก็เช็คเอาเอง) ที่สถานีรถไฟจะมีรถไฟให้บริการอยู่ 2 บริษัท คือ JR (รัฐ) กับ Keisei (เอกชน) เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ของบริษัทไหน อยู่ที่ราคากับจุดหมายที่จะไป
ถ้าเทียบกันทั้ง 2 บริษัทมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน JR จะมีให้บริการแค่ Narita Express (N'EX) กับ JR Narita Line ซึ่งมีจุดหมายปลายทางให้เลือกมากมาย แต่มีข้อเสียคือ N'EX จะราคาประมาณ 3 พันเยนขึ้นไป เทียบกับ Keisei ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า โดย Keisei Skyliner ราคาประมาณ 2,500 เยน แถมยังมีรถไฟธรรมดาที่ช้าแต่ถูกกว่าอีก ทั้งนี้ Keisei มีปลายทางแค่สถานี Keisei Ueno เท่านั้น จากเท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ของ Keisei มากกว่าเพราะราคาถูก

แต่เราเป็นพวกประหลาดใช้  N'EX เพราะเรามี Japan Rail Pass ที่จ่ายมาล่วงหน้าแล้ว ทำให้สามารถใช้บริการได้ฟรี วิธีการแลกก็แค่เดินเข้าไปในออฟฟิศ JR ยืนบัตรแลกให้กับพนักงาน ตอนนั้นพนักงานเป็นผู้หญิงก็สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษบอกว่าจะเริ่มใช้เลย จากนั้นพนักงานก็ถามว่าจะใช้ N'EX หรือเปล่าจะได้จองให้ เพราะ N'EX ต้องจองเท่านั้น ผมได้เที่ยว 10.18น. ปลายทางอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) แล้วจากนั้นก็ยังซื้อบัตร Suica ซึ่งเป็นบัตรเติมเงิน IC Card ที่สามารถใช้กับรถไฟฟ้า หรือซื้อของได้ ขั้นตอนการทำเรื่องทั้งหมดนี้สะดวกมากเพราะพนักงานสำเนียงอังกฤษฟังชัด (หลังจากนี้เราจะไม่ได้ยินอังกฤษที่ดีไปกว่านี้แล้ว) แถมเป็นตอนเช้าคนน้อยผมจึงสามารถถามรายละเอียดการใช้งานเพื่อความมั่นใจได้ พนักงานยังคุยเล่นว่ามาเที่ยวคนเดียวใช่มั๊ย เที่ยวให้สนุก เราเริ่มสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของคนญี่ปุ่นทันที ^^
ออฟฟิศ JR
ตั๋ว Japan Rail Pass กับตั๋วจองที่นั่ง N'EX
เราต้องเข้าประตูของ JR เท่านั้น เพราะทางเข้าของแต่ละบริษัทจะแยกกัน การใช้งาน Japan Rail Pass เราแค่แสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่สถานี ห้ามผ่านประตูอัตโนมัตเด็ดขาด หากยังงงเรื่องการใช้งานคลิ๊กที่นี่
Keisei Skyliner ชานชาลาตรงข้าม
JR Narita Line จะไม่เข้าเมืองโตเกียว
แนะนำอีกนิดนึงเรื่องรถไฟ N'EX คือเราต้องดูหมายเลขรถ (Car's Number) ให้ดีเพราะว่าอย่างขบวนที่ผมขึ้นมี 12 คัน โดยเป็นรถ 6 คันต่อกัน 2 ขบวน ซึ่งทั้ง 2 ขบวนปลายทางต่างกัน ผมได้รถหมายเลข 7 ซึ่งเป็นคันหน้าของขบวนที่ 2 ปลายทางอิเคะบุคุโระ ขบวนแรกปลายทางโยโกฮาม่า (Yokohama) ถ้าขึ้นผิดอาจเกิดปัญหาได้ โดยขบวนรถทั้ง 2 จะแยกกันที่สถานีโตเกียว (Tokyo)

หลังๆในตู้นี้เหลืออยู่แค่ 2 คนเท่านั้น
เก็บตั๋วจองที่นั่งให้ดี เผื่อเจ้าหน้าที่ขอดู
เดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงอิเคะบุคุโระ ความรู้สึกแรกที่รับรู้ได้คืออากาศที่เย็น และสถานีรถไฟที่ใหญ่มาก ขนาดไม่ได้เป็นสถานีใหญ่มากของเขา แต่ก็ใหญ่กว่าหัวลำโพงบ้านเราแน่นอน อุปสรรคแรกคือหาทางออกไม่เจอ แผนที่เราก็ไม่มี รู้แค่โรงแรมอยู่ฝั่งตะวันตกของสถานี ก็เดินผิดเดินถูก จนสุดท้ายหาทางออกเจอโดยต้องเดินออกจากฝั่ง JR ไปตามทางเดินใต้ดิน ผ่าน Tokyo Metro ออกทางออก C6 แล้วเดินซักพักก็ถึงโรงแรม Sakura Hotel Ikebukuro
สำหรับบรรยากาศภายในห้องก็ดูในคลิปวิดีโอเอาแล้วกัน
เมื่อจัดวางข้าวของและกินของว่างที่ซื้อจากเซเว่นใกล้ๆแล้ว ก็เริ่มเดินทางตามแผน จุดแรกที่จะไปคือย่านชิบูย่า (Shibuya) การเดินทางไม่ยากเลยคือกลับไปที่สถานีอิเคะบุคุโระ 
ทางเดินใต้ดินบริเวณสถานีอิเคะบุคุโระ
ใช้ Japan Rail Pass ผ่านประตูแล้วไปที่ชานชาลารถไฟสาย JR Saikyo ซึ่งเป็นสายสีคราม แต่ด้วยความที่ไม่เคยใช้รถไฟฟ้าญี่ปุ่นเลย จึงทำให้ขึ้นผิดขบวนโดยขบวนนี้มีปลายทางแค่ชินจูกุ (Shinjuku) ทำให้ต้องไปต่อสาย JR Yamanote
รถไฟสาย JR Saikyo
ความจริงทั้งรถไฟทั้ง 2 สายไปชิบูย่าได้หมด แต่สาย Saikyo จะจอดน้อยกว่าเท่านั้นเอง
ที่ชิบูย่าก็ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งช้อปปิ้งวัยรุ่น เสื้อผ้า ของจุกจิกมากมาย แต่เรามาแค่เหยียบ 5 แยกชิบูย่าอันเลื่องชื่อก็ชื่นใจพอแล้ว ออกจากสถานีที่ทางออก Hachiko

ออกมาก็จะเจอรูปปั้นเจ้าสุนัข Hachiko ที่รอคอยเจ้าของอย่างไม่ย่อท้อจนลมหายใจสุดท้าย บริเวณนี้เป็นจุดยอดนิยมสำหรับการนัดพบเพราะติดกับสถานีรถไฟชิบูย่าและ 5 แยกชิบูย่า
สำหรับ 5 แยกที่วุ่นวายที่สุดในโลก เราก็ไม่พลาดที่จะเดินผ่าน (หลายรอบเลย) สามารถหามุมดีในการถ่ายรูปได้ไม่ว่าจะเป็นที่สตาร์บัค (ซึ่งต้องมีโชคช่วยซักนิด) หรือสถานีรถไฟของ Tokyo Metro
แต่ในเมื่อมาถึงแหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของโตเกียวแล้ว ผู้ชายอย่างเราก็ทำได้แค่เดินผ่านร้านนู้นร้านนี้ ผ่านแล้วก็ผ่านเลย เลือดนักช้อปมันไม่อยู่ในตัวเรา บวกกับเงินที่ต้องประหยัดเพราะมันเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรกของเราเอง
ห้าง Shibuya 109 เป็นห้างที่ดังมากในย่านนี้
Loft สาขานี้ใหญ่มาก กี่ชั้นจำไม่ได้
เดินเสร็จจากที่ชิบูย่าก็ต่อที่ชินจูกุ เหมือนเดิมคือไม่ได้ช้อปอะไรทั้งนั้น การเดินทางใช้รถไฟสาย JR Yamanote ลงสถานีชินจูกุ ปัญหาเดิมรอบที่ 2 คือหลงในสถานีรถไฟอีกแล้ว ครั้งนี้หนักกว่าเดิมคือ สถานีชินจูกุขึ้นชื่อว่าเป็นสถานีที่วุ่นวายที่สุดในญี่ปุ่น อาจจะในโลกด้วยซ้ำ ทำให้หลงไปตามระเบียบ ออกมาได้แต่ดันออกผิดทาง จะออกฝั่งตะวันออก แต่มาโผล่ฝั่งตะวันตกซึ่งมีแต่อาคารสำนักงานสูงๆเต็มไปหมด
 แถวนี้เป็นออฟฟิศสำนักงานเป็นส่วนมาก แต่ถ้ายอมเดินซักนิดจะเจออาคารสำนักงานบริหารมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building) ที่เป็นจุดชมวิวมหานครโตเกียวได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เราไม่ได้เดินไปเพราะสภาพตอนนั้นอยากนอนพักอย่างเดียวแล้ว

 เมื่อรู้ว่าควรเดินกลับก็ย้อนไปคนละทางแต่ทิศตรงข้าม ก็มาสุดที่สถานีชินจูกุ แล้วก็ต้องเผชิญกับการหลงอีกรอบ จนสุดท้ายออกมาได้บริเวณรูปข้างล่าง
 ก็เดินตามทาง โดยให้ทางรถไฟอยู่ข้างซ้ายมือ (แปลว่าเราอยู่ฝั่งตะวันออกของสถานี) แถวนี้เริ่มมีสีสันก็เป็นตัวบ่งบอกว่าเรามาถูกที่แล้ว ร้านค้าร้านอาหารมีมากมายเหมาะสำหรับการเดินเที่ยวมาก แต่เรามาแค่ดูผ่านๆ
เดินไปเดินมาก็สะดุดกับร้านในตำนานที่เคยเห็นในสื่อหลายสำนักเหมือนกัน มันคือ...

ร้านขายของเล่นผู้ใหญ่นั้นเอง! ที่เป็นร้านในตำนานเพราะเค้าจะเปิดเพลงคาราโอเกะภาษาไทยหน้าร้าน ดึงดูดลูกค้าชาวญี่ปุ่น และแน่นอนชาวไทย ภายนอกอาจดูไม่มีอะไร แต่ข้างในคืออีกโลก (ไม่ได้เข้าไปเองนะ แต่ดูในYouTube) แบบยิ่งเข้าไปลึก ยิ่งระทึก ตอนแรกก็อยากเข้าไปดูแหละ แต่รอบข้างแหม่...ไทยมุงตรึม เลยได้แต่มองอย่างเดียว

ใกล้ๆกันก็จะเจอแลนด์มาร์คจุดนึงของย่านนี้คือก็อตชิลล่านั้นเอง

พอถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจว่าพอแล้ว เพราะตอนนั้นเหนื่อยมากๆ เดินทั้งวัน นอนไม่พอ เลยเดินที่ชินจูกุไม่ทั่วจริงๆ เรามาคนเดียวที่ญี่ปุ่นวันแรกด้วย ก็ไม่อยากฝืนตัวเอง เป็นอะไรไปจะไม่มีใครช่วยเรา ฟ้ายังไม่มืดก็ต้องกลับโรงแรมที่อิเคะบุคุโระด้วยรถไฟสาย JR Yamanote
จบสำหรับวันแรกอันแสนเหนื่อยที่ได้ชมอย่างละนิดอย่างละหน่อย ถือว่าเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆรอบตัว เพราะหลังจากนี้จะเริ่มเที่ยวหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า

แผนที่เส้นทางการเดินทางโดยประมาณ 
สีแดงคือเส้นทางการเดินทาง สีน้ำเงินคือเส้นทางไป-กลับจากโรงแรม

อ่านวันที่ 2 ละลายเงินเยน
อ่านวันที่ 3 ขึ้นชินคันเซ็นครั้งแรก
อ่านวันที่ 4 ตะลุยโอซาก้า
อ่านวันที่ 5 เยี่ยมเมืองเก่า
อ่านวันที่ 6 เกาะกระต่ายอันลึกลับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น