วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองคนเดียว วันที่ 3 ขึ้นชินคันเซ็นครั้งแรก





วันที่ 3 ขึ้นชินคันเซนครั้งแรก
หลังจากที่ทนเหนื่อยมา 2 วันในโตเกียว วันนี้ก็เหนื่อยอีกตามเคย แต่เราพอเริ่มปรับตัวได้แล้วก็จะลองทำอะไรยากๆขึ้นมาอีกนิดนึง ในเมื่อเรามี Japan Rail Pass อยู่ในมือ ถ้าไม่ใช้ขึ้นรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นก็แปลกอยู่ 

วันพรุ่งนี้ต้องย้ายไปโอซาก้าด้วยชินคันเซ็น วันนี้เลยจะลองทดสอบก่อนใช้จริงในวันพรุ่งนี้ เรียกได้ว่าสำรวจสถานที่และขั้นตอนการใช้บริการก่อน เพราะนี้เป็นการขึ้นรถไฟความเร็วสูงครั้งแรกในชีวิต

แผนในตอนเช้าวันนี้จะไปย่านวัยรุ่น 2 ย่าน 2 สไตล์ นั่นคือฮาราจุกุ กับอากิฮาบาระ แต่ไม่ช้อปเน้นเดินผ่านๆตามสไตล์เรา

ตอนเช้าออกสายกว่ากำหนดประมาณ 1 ชม.เพราะมัวแต่เล่นอินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้เล็กๆของโรงแรม อย่าลืมว่าทริปนี้เราใช้ Free WiFi ออกข้างนอกก็ไม่มี
อินเตอร์เน็ตใช้แล้ว แผนที่ไม่มีด้วนนะ

การเดินทางจากอิเคะบุคุโระไปฮาราจุกุไม่ยาก แค่นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote ที่จะมุ่งหน้าไปชินจูกุ (Shinjuku) ไม่นานก็ถึงสถานีฮาราจุกุ (Harajuku)
รถไฟสาย JR Yamanote เป็นสายหลักของโตเกียวเลยก็ว่าได้ เพราะมีเส้นทางเป็นวงกลม ผ่านสถานที่สำคัญหลายที่
จึงเป็นที่นิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยว

สถานีฮาราจุกุไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก เลยไม่หลง เดินออกมาจะเจอถนนทาเคชิตะอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย แต่เราไปศาลเจ้าเมจิก่อน ต้องเลี้ยวขวาเดินเลียบทางรถไฟแล้วจะมีสะพานหินสีขาว ชื่อสะพานจิงกุ (Jingu) ข้ามไปฝั่งศาลเจ้าที่เป็นป่าร่มรื่นใจกลางเมือง
ส่วนอาคารไม้เก่าแก่ของสถานีฮาราจุกุ
เมื่อเจอเสาโทริอิแสดงว่าเป็นบริเวณศาลเจ้าของศาสนาชินโต (ต่างกับวัดที่จะไม่มีเสาโทริอิ) ต้องเดินตามทางเดินที่เป็นก้อนกรวดเล็กๆเข้าไปลึกพอสมควรกว่าจะถึงตัวศาลเจ้า รอบๆมีแต่ลำธารและต้นไม้สูง กับอีกาตัวใหญ่ๆเต็มไปหมด อารมณ์มันไม่เหมือนอยู่ใจกลางเมืองเลยซักนิด พื้นที่สีเขียวค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โตกว่า 7 แสนตารางเมตร จึงเสมือนปอดของโตเกียวเลย

 

ถังไวน์และสาเกที่ประดับอยู่ก็เป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูป หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมีเหล้า, ไวน์ในบริเวณศาลเจ้าได้ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าความเชื่อของไทยกับญี่ปุ่นแตกต่างกัน เหล้าเป็นเครื่องดื่มฉลองในงานพิธีมงคลต่างๆของวัดญี่ปุ่น ส่วนถังไวน์ที่เห็นนี้เป็นของขวัญให้จักรพรรดิ์ในสมัยเมจิ มาจากแหล่งผลิตไวน์ของแคว้น Bourgogne ที่ฝรั่งเศษ
อีกาเยอะมาก

ตามธรรมเนียมก่อนเข้าศาลเจ้าต้องล้างมือก่อน
ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยเมจิ ถือว่าเป็นศาลเจ้าหลักของโตเกียวเลยก็ว่าได้ และยังเป็นสถานที่ที่คนญี่ปุ่นนิยมมาทำพิธีแต่งงานกันที่นี่ด้วย


หลังจากเดินชมศาลเจ้าเสร็จก็กลับทางเดิมเพื่อไปถนนทาเคชิตะ ซึ่งเป็นถนนวัยรุ่นที่มีเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิกน่ารักๆขาย เช่นร้าน Daiso หรือที่เรียกกันติดปากว่าร้าน 100 เยน 

วันเสาร์อาทิตย์คนจะแน่เต็มถนน ใครชอบดูคอสเพลย์ก็ลองมาส่องๆแถวนี้ดู แต่เรามาที่นี่เรามาหาเครปกินก็เท่านั้นแหละ -.-






ร้านเครปมีอยู่หลายร้าน เครปมีหลายรสไม่ว่าจะเป็นผลไม้, ไอศกรีมที่มากมายจนเลือกไม่ถูก  ราคาก็แล้วแต่ประมาณ 400-600 เยน
อันนี้ของโปรด รสทีรามิสุ


เราเดินอยู่ที่นี้ไม่นานมากเพราะเป็นแค่ซอยเล็กๆ แถมเราต้องทำเวลาอีกเลยจัดแมคโดนัลไปแบบเร็วๆ (ที่เค้าว่าใหญ่สุดในญี่ปุ่น แต่เอาจริงๆของไทยใหญ่กว่าเยอะ) แล้วเดินกลับไปที่สถานีฮาราจุกุโดยสถานที่ต่อไปคืออากิฮาบาระ (Akihabara)

ตอนเดินเข้าสถานีฮาราจุกุ ผมก็ใช้ตั๋ว Japan Rail Pass แสดงให้เจ้าหน้าที่ดูแล้วก็เดินผ่านประตูไปตามปกติ พอเดินผ่านเสร็จก็ยืนเพื่อที่จะเก็บตั๋วเข้ากระเป๋า ระหว่างยืนเก็บอยู่ก็มองไปเห็นเด็กผู้หญิงญี่ปุ่นใส่ชุดนักเรียนยืนอยู่นอกสถานีกำลังมองดูตั๋วที่เราถืออยู่แบบงงๆ เขาคงเห็นว่าเราควักบัตรอะไรซักอย่าง แล้วบัตรนี้ทำให้เราเข้าสถานีได้แบบเจ้าหน้าที่โค้งคำนับด้วย เด็กแอบอิจฉาเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่แน่นอนว่า Japan Rail Pass เป็นตั๋วที่น่าอิจฉาจริงๆ เพราะตั๋วใบเดียวเที่ยวได้ทั่วญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นเองไม่มีสิทธิใช้เลย อ่านรายละเอียดของตั๋วนี้ได้ที่นี่

การเดินทางจะใช้รถไฟสาย Yamanote ไปเปลี่ยนเป็นสาย Chuo-Sobu ที่สถานีโยโยหงิ (Yoyogi) ซึ่งอยู่ก่อนถึงชินจูกุ แล้วก็นั่งไปซักพักก็ถึงสถานีอากิฮาบาระ  (จะใช้สาย Yamanote อย่างเดียวก็ได้ แต่จะนานหน่อย เพราะสาย Chuo-Sobu Local มันจะตัดผ่านวงกลมของสาย Yamanote ทำให้ถึงเร็วกว่า)
รถไฟสาย Chuo-Sobu Local จะเป็นสีเหลือง

ย่านอากิฮาบาระเป็นย่านที่นิยมในหมู่โอตาคุ เพราะเป็นแหล่งรวมบรรดาตัวการ์ตูนอะนิเมะทั้งหลาย แล้วยังเป็นแหล่งรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า, เกม และ Maid Cafe ด้วย




Maidreamin มาเปิดที่ไทย 2 สาขาแล้วนะ



คนที่คลั่งไคล้การ์ตูนญี่ปุ่นมาที่นี่อาจเป็นบ้าอยู่ตั้งแต่เช้ายันเย็นได้ แต่ส่วนตัวผมไม่นิยมสิ่งใดเหล่านี้เลย รู้สึกเฉยๆไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ พยายามจะอินกับบรรยากาศนะ แต่ทำไม่ได้ คือตอนวางแผนไม่ได้หวังอะไรกับที่นี่มากอยู่แล้ว แค่จะเข้าไปเล่นเกมตู้ก็เสียดายเงิน ถ้าสถานที่มันไม่ใช่เราก็ไม่ฝืน ได้แค่เดินเล่นรอบๆ หาที่นั่งพัก แม้แดดแรงแต่ลมก็เย็นสบาย


ห้าง Yodobashi เป็นห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ของย่านนี้เลย
พอไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เลยตัดสินใจไปสถานที่สุดท้ายของวันนี้ ขอหลุดจากสถานที่ยอดฮิตที่มีรีวิวนับร้อยเป็นอะไรใหม่ๆคนไม่ค่อยรู้จักบ้าง นั้นคือพิพิธภัณฑ์รถไฟ ซึ่งอยู่ที่จังหวัดไซตะมะ (Saitama) ไม่ไกลจากโตเกียว การเดินทางที่รวดเร็วและประหยัดเวลามากที่สุดก็แน่นอน...ชินคันเซ็น

การจะขึ้นชินคันเซ็นก็ต้องไปสถานีโตเกียวอยู่ไม่ไกลจากอากิฮาบาระ ก็แค่ใช้รถไฟสายประจำของเรานั้นคือสาย Yamanote ไปลงที่
โตเกียว



มาสถานีโตเกียวแล้วจะไม่ออกไปชมภายนอกแปลว่ายังไม่ถึง เพราะอาคารภายนอกของสถานีโตเกียวมีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่สวยงาม มีอายุกว่าร้อยปี ซึ่งภายในเป็นโรงแรมมีห้องพักกว่า 150 ห้อง




นอกจากมารอชินคันเซ็นแล้ว ผมยังได้ทำการจองที่นั่งชินคันเซ็นสำหรับการเดินทางไปโอซาก้าพรุ่งนี้ เพื่อให้สบายใจว่าเรามีที่นั่งแน่นอน และมันจองฟรีเมื่อมี Japan Rail Pass

แล้วสำหรับวันนี้หละ...ก็เดินเข้าไปเลยไง 

ตั๋วจองที่นั่งหละ...ไม่มีไง

เมื่อมี Japan Rail Pass เราเป็นเสมือน VIP ที่จะเข้ารถไฟ JR อะไรก็ได้ตามใจชอบ (แต่ไม่ได้ทุกขบวน) รวมถึงชินคันเซ็นด้วย โดยต้องนั่งในตู้ Non-Reserved เท่านั้น

ชินคันเซ็นที่จะใช้วันนี้คือ Hakutaga 567 ของสาย Hokuriku เหตุผลที่เลือกขบวนนี้เพราะสายนี้เขาใช้ชินคันเซ็นรุ่นใหม่ล่าสุดคือ E7 Series
ชินคันเซ็นตามจอด้านซ้ายทุกขบวนใช้ได้หมด
สำหรับสถานีที่จะลงคือ สถานีโอมิยะ (Omiya) เราสามารถขึ้นชินคันเซ็นอะไรก็ได้ของ JR East (สาย Tohoku, Joetsu, Yamagata, Akita และ Hokuriku) ที่มีตู้ Non-Reserved เพราะสถานีโอมิยะ ชินคันเซ็นทุกขบวนจอดหมด โดยใช้เวลาเดินทางแค่ 25 นาที 

ก่อนเข้าไปในชินคันเซ็นต้องเช็คว่าตู้ Non-Reserved อยู่ตู้ที่เท่าไหร่ จากจอแสดงผลในสถานี หรือข้างตัวรถไฟ ในตู้ Non-Reserved เราสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ แต่ถ้าโชคร้ายที่นั่งเต็มก็ต้องยืน ในกรณีของเราขึ้นต้นทางได้นั่งชัวร์ๆ

ภายในคล้ายๆเครื่องบิน แต่ที่นั่งกว้าง ความห่างของแต่ละที่นั่งกว้างมาก ยืดขาสบาย มีปลั๊กไว้สำหรับชาร์ตแบตด้วย



มาถึงสถานีโอมิยะ เขาจะมีป้ายไปพิพิธภัณฑ์รถไฟชัดเจน แต่ต้องใช้รถ New Shuttle ต่ออีก 1 ป้าย สามารถใช้บัตร Suica ได้



แถบนี้เป็นเหมือนโรงงานรถไฟ เลยมีพิพิธภัณฑ์รถไฟจัดแสดง

ออกมาดูข้างนอกนิดนึง เห็นแท็กซี่จอดอยู่อย่างเป็นระเบียบมาก มากนี่คือทุกคันยังใช้รถรุ่นเดียวกันนั้นคือรถคุณปู่ Toyota Crown (คือคุณปู่แอดมินก็ขับรุ่นนี้)



รถ New Shuttle จะคล้ายรถไฟแต่ไม่ใช่ เพราะตู้หนึ่งเล็กมาก เหมือนอยู่ในกล่อง, มีล้อยาง และไม่ได้วิ่งบนราง เค้าเรียกว่า People Mover

สถานีที่ลงคือสถานี Tetsudō-Hakubutsukan จะอยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์เลย



พิพิธภัณฑ์เปิด 10.00-18.00น. ปิดทุกวันอังคาร ค่าเข้าผู้ใหญ่ 1000 เยน เด็ก 500 เยน สามารถใช้บัตร Suica ในการจ่ายได้ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงรถไฟโบราณ สมัยที่รถไฟญี่ปุ่นเริ่มรุ่งเรือง แต่เราต้องทำใจเรื่องภาษานิดนึง เพราะที่นี่เขาไม่ค่อยรองรับชาวต่างชาติเท่าไหร่ แต่มีภาษาอังกฤษให้บ้าง (หัวข้อบนป้ายเท่านั้น) เราก็ได้แค่ดูรถไฟเฉยๆอ่านคำบรรยายภาษาญี่ปุ่นไม่ออกแต่ก็เพลินได้ คนน้อนถึงน้อยมาก

ชั้นแรกจะเป็นการจัดแสดงรถไฟแบบต่างๆ ซึ่งจะไล่ตามยุคสมัย เมื่อเดินลึกขึ้นรถไฟก็จะทันสมัยมากขึ้น ส่วนชั้นสองจะเป็นนิทรรศการประวัติรถไฟญี่ปุ่น

รู้หรือเปล่าว่ารางรถไฟของญี่ปุ่นกว้าง 1.067 เมตร






ชินคันเซ็น Series 222



Class Kumoha 101




12.00, 15.00น. ตรงกลางจะหมุนได้


ที่ชั้น 2 จะมีห้องจัดแสดงโมเดลรถไฟ ตอนผมเดินไปก็ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร มันมืดๆแล้วมีพนักงานเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เดินเข้าไป เพราะตอนนั้นประมาณบ่าย 3 โมงเป็นเวลาแสดงแสงสีเสียงพอดี มีบรรยายสดเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ดูรถไฟวิ่งไปวิ่งมาอย่างเดียว




ที่นี่ไม่มีชินคันเซ็นใหม่ๆให้ดูนะ ถ้าจะดูต้องไปที่นาโกย่า หรือขึ้นไปบนดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์นี่ก็ได้ 

ดาดฟ้าจะมีจุดให้ชมรถไฟชินคันเซ็นที่วิ่งผ่านไปผ่านมา โดยจะมีตารางให้ดูว่าเวลาไหน รถขบวนอะไรผ่าน ซึ่งตรงเวลาเป๊ะมาก เราอยู่ตรงนี้นานเลย เพราะเพิ่งเคยเห็นชินคันเซ็นครั้งแรกแล้วชินคันเซ็นของ JR East มันสวยมาก (ดูในคลิป) วิวดีด้วย ลมเย็น ใครมาที่นี่ห้ามพลาดบรรยากาศบนดาดฟ้าหละ



ไม่รู้ติดใจหรืออะไรทำให้เดินจนพิพิธภัณฑ์ปิดเลย ก็มีของฝากเป็นขนมตามเคย กับพวงกุญแจชินคันเซ็นจิ๋วๆ 

ขากลับก็นั่ง New Shuttle กลับสถานีโอมิยะ แต่จะไม่นั่งชินคันเซ็นกลับเพราะโรงแรมที่อิเคะบุคุโระมันอยู่ใกล้มากกว่า รถไฟ JR ที่เลือกกลับคือสาย Saikyo (จะใช้สาย Shonan-Shinjuku ก็ได้)


ตอนเย็นคนเยอะมาก เราก็เดินตามป้ายที่เป็นสีครามของสาย Saikyo


แผนที่เส้นทางการเดินทางโดยประมาณ 
สีแดงคือเส้นทางการเดินทาง สีน้ำเงินคือเส้นทางไป-กลับจากโรงแรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น