วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองคนเดียว วันที่ 4 ตะลุยโอซาก้า


อ่านวันที่ 2 ละลายเงินเยน
อ่านวันที่ 3 ขึ้นชินคันเซนครั้งแรก

วันที่ 4 ตะลุยโอซาก้า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่โตเกียวแล้ว เลยจะเดินเล่นแถวโรงแรมที่ย่านอิเคะบุคุโระในตอนเช้าก่อนออกเดินทางไปยังโอซาก้า แต่ทว่า....

ทุกอย่างมันผิดแผนหมดเพราะแผนที่วางไว้คือ เดินเล่นตามห้างพวก Sunshine City อะไรประมาณนี้ เราออกจากโรงแรมตั้ง 9 โมงเช้า แต่ห้างเปิด 11 โมง (ตอนนั้นยังไม่รู้) เช็คเอ้าท์จากโรงแรมเสร็จก็ต้องทิ้งกระเป๋าในโรงแรมก่อนแล้วเดินในอิเคะบุคุโระอย่างไร้จุดหมาย จากรอบๆโรงแรมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของสถานีรถไฟ ข้ามไปยังฝั่งตะวันออกที่จะมีร้านขายค้า และห้างมากมาย
สถานีรถไฟขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งจะมีห้างสรรพสินค้าสร้างประกบกับตัวสถานี ทำให้สถานีรถไฟเป็นศูนย์กลางของเมืองได้โดยปริยาย อย่างที่สถานีอิเคะบุคุโระจะมีห้าง Tobu และห้าง Seibu ซึ่งก็เป็นเอกชนผู้ให้บริการรถไฟเหมือนกัน
แทนที่จะเดินทะลุสถานีรถไฟ ผมเลือกเดินผ่านสะพานข้ามทางรถไฟที่อยู่ไม่ไกล แม้จะอ้อมหน่อย แต่ได้ชมรถไฟท่ามกลางลมเย็นๆมันก็ผ่อนคลายดี
ฝั่งตะวันออกมันจะคล้ายๆสยามสแคว์คือมีร้านเล็กร้านน้อย ห้างขนาดกลางขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ปัญหาคือตอนเช้าเปิดแค่ไม่กี่ร้าน เราเลยเดินพุ่งไปห้าง Sunshine City แบบดูแผนที่ข้างทางนิดหน่อย เพราะจำทางไม่ค่อยได้
ฝั่งตะวันออกของสถานีก็เป็นห้าง Seibu
เห็นร้าน Denny's แล้วทำให้นึกถึงตอนเที่ยวอเมริกาเพราะเป็นร้านแรกที่ไปทานตอนมาถึงใหม่ๆ
พอมาถึงห้าง Sunshine City ก็ผิดหวังเพราะร้านค้าแทบไม่เปิดเลย แต่เค้าก็ให้เดินข้างในห้าง ก็พอมีคนญี่ปุ่นเดินรอห้างเปิดอยู่บ้าง แค่ไม่มีร้านอะไรเปิดให้เข้าดูเลย
สำหรับห้าง Sunshine City จะเป็นห้างใหญ่ประจำอิเคะบุคุโระเลย เพราะนอกจากการเดินช้อปยังมีอะไรให้ทำมากมาย เช่นพวกพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือสวนสนุกย่อมๆอย่าง Namja Town, J-World
โดยเค้าว่ากันว่าสามารถเที่ยวในห้างนี้ได้ทั้งวันเลย
จะว่าเป็นเช้าที่เสียเวลาไหม ก็ไม่เชิง แต่อยู่ไปก็คงเสียเวลาเปล่าๆเลยตัดสินใจกลับโรงแรมไปเอากระเป๋า ซื้อของกินเล่นบ้างระหว่างทางกลับ เพราะหลังจากนี้จะต้องเดินทางกันไกล เพื่อไปยังโอซาก้าด้วยรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น

เนื้อหาหลังจากนี้จะอยู่ในคลิปตอนที่ 3
การเดินทางต้องไปที่สถานีโตเกียว โดยจากโรงแรมก็ต้องเดินไปยังสถานีอิเคะบุคุโระที่คุ้นเคย ใช้ Japan Rail Pass ขึ้นรถไฟ JR สาย  Saikyo แล้วไปเปลี่ยนสาย Chuo (Rapid) ที่สถานีชินจูกุ ตรงไปยังปลายทางสถานีโตเกียว เหตุผลที่เลือกสาย 2 สายนี้เพราะดูเป็นสายที่เดินทางคล่องตัวสุด จอดน้อยที่สุด เมื่อเที่ยบกับนั่งสาย Yamanote ยาวไปถึงโตเกียว เพราะกระเป๋าเราใบใหญ่ ไม่อยากขวางคนเข้าออกหลายหน ถึงจะได้นั่งก็ตาม และอีกอย่างรถไฟสาย Chuo (Rapid) สุดทางที่สถานีโตเกียวเราจึงไม่ต้องกังวลว่าจะลงผิดสถานีหรือออกจากรถไฟช้า
รถไฟสาย JR Saikyo
เปลี่ยนสายที่สถานีชินจูกุ
ที่ต้องระวังช่วงเปลี่ยนสายรถไฟที่สถานีชินจูกุคือสาย Chuo (Rapid) มีแถบสีส้ม แต่มันจะมีสาย Chuo-Sobu (Local) แถบสีเหลือง ที่วิ่งคู่กันแต่เป็นรถธรรดาจอดทุกสถานี เมื่อใกล้โตเกียวจะแยกทางไปอากิฮาบาระไปถึงชิบะ พูดง่ายๆคือไม่ผ่านสถานีโตเกียวนั้นเอง ฉะนั้นต้องมองหาสีส้มเท่านั้น
ถึงสถานีโตเกียวก็พอมีเวลาประมาณครึ่งชม.ที่จะรอรถไฟชินคันเซ็นไปยังโอซาก้า เส้นทางที่เราควรดูเมื่อใช้ชินคันเซ็นไปโอซาก้าคือเส้นทาง Tokaido เพราะเป็นเพียงเส้นทางเดียวที่จะลงใต้ไปยังนาโกย่า, เกียวโต, โอซาก้า, ฮิโรชิม่า, ฮากะตะ(ฟุกุโอกะ) สัญลักษณ์จะเป็นแถบสีฟ้า
ก่อนออกจากโตเกียวก็มีแวะซื้อโตเกียวบานาน่านิดนึง
การเดินทางวันนี้จะใช้ Hikari 515 (ออก 13.33น.) เนื่องจาก Japan Rail Pass ไม่สามารถใช้กับ Nozomi ซึ่งเป็นรถเร็วสุดได้ เลยต้องใช้รถที่เร็วรองลงมาคือ Hikari การขึ้นจะต่างกับเมื่อวานที่นั่ง Hakutaka ไปโอมิยะ โดยเมื่อวานถือ Japan Rail Pass ขึ้นตู้ Non-Reserved ได้เลย แต่วันนี้จะขึ้นตู้ Reserved ซึ่งทำการจองได้ฟรีสำหรับคนที่ถือ Japan Rail Pass แต่เราทำมาก่อนแล้วเมื่อวาน วันนี้เลยไปที่ชานชาลาได้เลย การขึ้นตู้ Reserved จะต้องมีตั๋วจองที่นั่ง มันเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลและเส้นทางนั้นคนเยอะๆ โตเกียวไปโอซาก้าเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะคนเยอะทุกขบวน ฉะนั้นต้องมีตั๋วจองที่นั่งและมาก่อนเวลาจะดีที่สุด

ศึกษาการใช้งานและการใช้ชินคันเซ็นด้วย Japan Rail Passได้ที่นี่
ตั๋วจองที่นั่ง ควรเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ
ระหว่างรอรถไฟเข้าชานชาลา ตำแหน่งที่ผมยืนมันเป็นจุดต่อระหว่างตู้ Reserved (ตู้ที่ 6) กับ Non-Reserved (ตู้ที่ 5) จึงเห็นความแตกต่างของปริมาณคนได้อย่างชัดเจน แถวที่ผมยืนมีเพียง 3-4 คน ขณะที่แถว Non-Reserved มีประมาณมากกว่า 10 คนต่อแถว การจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าจะสบายใจว่าไม่ต้องมาแย่งที่นั่งกับคนอื่น แถมมันอาจมีความเสี่ยงที่จะต้องยืนหากที่นั่งเต็ม

เมื่อรถไฟเข้าชานชาลาก็มีเวลาไม่กี่นาทีให้พนักงานทำความสะอาดรถ เพราะเป็นขบวนรถที่ใช้ต่อหลังจากส่งผู้โดยสายออกหมดแล้ว พวกพนักงานทำความสะอาดเขาทำงานได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เช็ดกระจก สลับด้านเก้าอีก เปลี่ยนผ้ารองเบาะ แป๊ปเดียวก็เสร็จ 
และแล้วระหว่างหาที่นั่งตามที่ระบุบนตั๋วอยู่งานก็เข้า.....

ตอนแรกเราก็สบายใจกับการจองที่นั่งว่าไม่มีใครมาแย่งที่เราแน่นอน ก็มุ่งไปที่นั่ง 6-A ตามที่ระบุบนตั๋ว พอไปถึงซักพักมีสาววัยรุ่นญี่ปุ่นอายุไม่เกิน 30 มาคนเดียว เข้ามาทักด้วยเสียงในฟิล์ม ไม่มีซับไทย สมองเราก็แปลจากภาษากายได้ว่านางกำลังจะบอกว่านั้นมันที่ของชั้น พร้อมโชว์ตั๋วจองให้เราดู บอกได้คำเดียวเลยว่าตอนนั้นเราทำตัวไม่ถูก (ในใจพูดชิบห*ยแล้วตรู) เมื่อมองดูตั๋ว อื้อหือ....ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ (เนื่องจากตั๋วของเราเป็นภาษาอังกฤษเพราะแลกผ่านการใช้ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นของชาวต่างชาติเท่านั้น) เมื่อมองดูตัวของเขาสิ่งเดียวที่เราอ่านได้คือตัวเลข ซึ่งมีเลข 6 กับเลข 4 ที่น่าสงสัย ถ้าดูจากตัวเราตำแหน่งเดียวกันบนตั๋วจะเป็นเลขบอกเบอร์รถ กับที่นั่ง เรามั่นใจว่าขึ้นรถมาถูกแน่นอน เพราะยืนจ้องหมายเลขรถระหว่างรอรถไฟเข้าชานชาลามานานแล้ว เมื่อประมวลผลได้ในเวลาอันสั้น ระบบตอบสนองในร่างกายก็สั่งให้เราทำเป็นเหมือนอ่านญี่ปุ่นออก ชี้ไปที่เลข 4 บนตั๋วของเขาและพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า Seat number 4 แล้วชี้ไปที่นั่งว่าตรงนี้ Seat 6

โชคดีว่าผู้หญิงคนนี้ฟังอังกฤษได้ เขาก็ Sorry แล้วไปนั่งที่เขา ตอนแรกก็กังวลว่าถ้าแปลผิดขึ้นมาจะทำไง ยังดีที่ตัดสินใจถูก เพราะระหว่างทางก็มองดูว่าเขายังอยู่ที่นั่งเดิมหรือเปล่า ปรากฏว่าใช่ พนักงานตรวจตัวไปก็ดูไม่มีปัญหา ถือว่าเรารอดตัวไป

เราไม่รู้ว่าบนตั๋วภาษาญี่ปุ่นเขาเขียนว่าอะไร ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงอ่านสลับ หรือเพราะเค้าอ่านจากขวาไปซ้าย 555 ใครรู้บอกที
การเดินทางไปโอซาก้าใช้เวลา 3 ชม.ก็ถึงที่สถานีชินโอซาก้า (Shin-Osaka)
ความผิดพลาดแรกที่ไปถึงคือยืนบันไดเลื่อนผิดฝั่ง ก่อนหน้านี้ที่โตเกียวยืนชิดซ้ายจนชิน พอมาแถบคันไซต้องชิดขวา มันเลยปรับตัวไม่ถูก
จากสถานีชินโอซาก้า ไปโรงแรมโดยการเดินออกจากประตูกลาง ไปตามทางรถไฟ Subway เดินประมาณ 10 นาที โรงแรมชื่อ Shin-Osaka Sunny Stone เป็นโรงแรมที่โอเคมาก ราคาถูก ห้องสะอาด หรูหราทีเดียว นอนคนเดียวสบาย
ตอนเย็นก็เริ่มเดินทางไปยังย่านชินไซบาชิ/นัมบะที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบไปถ่ายป้ายกุลิโกะ

จากโรงแรมมีสถานี Subway สาย Midosuji อยู่ใกล้ๆชื่อสถานียาวมากคือ Nishinakajima-Minamigata ใครตั้งก็ไม่รู้ ผมต้องอยู่จนถึงวันสุดท้ายถึงจะจำชื่อสถานีได้ สำหรับ Subway ของโอซาก้าก็คล้ายๆกับรถไฟใต้ดินของโตเกียว เพียงแต่ดูเก่ากว่าประมาณ 20 ปีได้ เสียงประกาศใช้คนประกาศไม่มีภาษาอังกฤษ หูต้องดีหน่อย แต่ฟังไม่ยาก
ชานชาลา 1 ไปทาง Namba
จากที่นี่สามารถนั่งรถไฟตรงไปยังสถานีชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ได้เลย
ชินไซบาชิเป็นย่านช้อปปิ้งที่เป็นถนนยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มิทิศมุ่งหน้าไปยังป้ายกุลิโกะ ตอนเย็นๆถนนนี้คนจะเยอะมาก
แล้วก็ได้ลองของทอดเสียบไม้ร้านดังชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้ แต่ลุงเจ้าของร้านเด่นสะดุดตามาก ที่ประทับใจคือพนักงานผู้ชายที่ให้บริการผมตั้งแต่รับออร์เดอร์, เสริฟน้ำ, ทอดอาหาร คือคนเดียวกัน แล้วเป็นคนที่เสียงต้อนรับลูกค้าดังสุดในร้านตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่น
ราคาอาจดูแพงไปนิด แต่ก็โอเคสำหรับการอะไรกินเร็วๆ
พอฟ้าเริ่มมืดก็รีบเดินไปยังป้ายกุลิโกะ รู้ว่าถึงก็ต่อเมื่อเห็นคนถ่ายรูปกันเยอะแยะ ใครอยากหาคนไทยหาได้ไม่ยาก เราได้ยินภาษาไทยหลายประโยคมาก

ถนนนี้มีชื่อว่าถนนโดทมโบริ เพราะอยู่เลียบคลองโดทมโบริ รอบๆบริเวณก็มีป้ายไฟแสงสีจากร้านขายอาหาร และร้านของฝากเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นขาปูยักษ์, ทาโกะยากิ เป็นต้น เรียกได้ว่าเลือดนักช้อปขนมในตัวเรามันพุ่งเลย (ที่โตเกียวมีแต่เสื้อผ้าของใช้จุกจิก เราเฉยๆ แต่พอมาโอซาก้าเห็นขนมมันอดไม่ได้จริงๆ)
ปูยักษ์ร้าน Kani Doraku Honten
ซื้อขนมมาเยอะพอสมควร ที่เด่นๆคือป๊อกกี้ยักษ์ 7 สีราคาประมาณพันกว่าเยน มี 21 แท่ง 7 รสใน 1 กล่อง (ไม่มีรูปให้ดู)
ร้านขนมของฝากกุลิโกะ
ตุ๊กตาตีกลองอันเลื่องชื่อของโอซาก้า
ร้านขายของฝากดองกี้
คืนแรกที่โอซาก้าส่วนตัวถือว่าน่าประทับใจ เพราะมีของกินของฝากที่ตัวเองชอบอยู่รอบทิศ ต่างกับโตเกียวที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่า มาครั้งแรกก็มีของฝากที่คนเดียวจะถือไหวติดไม้ติดมือเยอะพอสมควร
เดินชิวคนเดียวไปเป็นชั่วโมง ประมาณ 2-3 ทุ่มก็ต้องกลับโรงแรม  เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าไปนาระกับเกียวโต แต่ตอนนั้นมีแผนไว้อยู่แล้วว่าจะกลับมาที่นี่อีกในวันสุดท้าย (ซึ่งไม่มีในรีวิว)
วิธีกลับโรงแรมใช้รถไฟสาย Midosuji ที่สถานีนัมบะ (Namba) นั่งย้อนกลับไปทางเดิม

แผนที่เส้นทางการเดินทางโดยประมาณ 
สีแดงคือเส้นทางการเดินทาง สีน้ำเงินคือเส้นทางไป-กลับจากโรงแรม
อ่านวันที่ 5 เยี่ยมเมืองเก่า
อ่านวันที่ 6 เกาะกระต่ายอันลึกลับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น