อ่านวันที่ 2 ละลายเงินเยน
อ่านวันที่ 3 ขึ้นชินคันเซนครั้งแรก
วันที่ 4 ตะลุยโอซาก้า
ตอนแรกเราก็สบายใจกับการจองที่นั่งว่าไม่มีใครมาแย่งที่เราแน่นอน ก็มุ่งไปที่นั่ง 6-A ตามที่ระบุบนตั๋ว พอไปถึงซักพักมีสาววัยรุ่นญี่ปุ่นอายุไม่เกิน 30 มาคนเดียว เข้ามาทักด้วยเสียงในฟิล์ม ไม่มีซับไทย สมองเราก็แปลจากภาษากายได้ว่านางกำลังจะบอกว่านั้นมันที่ของชั้น พร้อมโชว์ตั๋วจองให้เราดู บอกได้คำเดียวเลยว่าตอนนั้นเราทำตัวไม่ถูก (ในใจพูดชิบห*ยแล้วตรู) เมื่อมองดูตั๋ว อื้อหือ....ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ (เนื่องจากตั๋วของเราเป็นภาษาอังกฤษเพราะแลกผ่านการใช้ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นของชาวต่างชาติเท่านั้น) เมื่อมองดูตัวของเขาสิ่งเดียวที่เราอ่านได้คือตัวเลข ซึ่งมีเลข 6 กับเลข 4 ที่น่าสงสัย ถ้าดูจากตัวเราตำแหน่งเดียวกันบนตั๋วจะเป็นเลขบอกเบอร์รถ กับที่นั่ง เรามั่นใจว่าขึ้นรถมาถูกแน่นอน เพราะยืนจ้องหมายเลขรถระหว่างรอรถไฟเข้าชานชาลามานานแล้ว เมื่อประมวลผลได้ในเวลาอันสั้น ระบบตอบสนองในร่างกายก็สั่งให้เราทำเป็นเหมือนอ่านญี่ปุ่นออก ชี้ไปที่เลข 4 บนตั๋วของเขาและพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า Seat number 4 แล้วชี้ไปที่นั่งว่าตรงนี้ Seat 6
โชคดีว่าผู้หญิงคนนี้ฟังอังกฤษได้ เขาก็ Sorry แล้วไปนั่งที่เขา ตอนแรกก็กังวลว่าถ้าแปลผิดขึ้นมาจะทำไง ยังดีที่ตัดสินใจถูก เพราะระหว่างทางก็มองดูว่าเขายังอยู่ที่นั่งเดิมหรือเปล่า ปรากฏว่าใช่ พนักงานตรวจตัวไปก็ดูไม่มีปัญหา ถือว่าเรารอดตัวไป
อ่านวันที่ 3 ขึ้นชินคันเซนครั้งแรก
วันที่ 4 ตะลุยโอซาก้า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่โตเกียวแล้ว เลยจะเดินเล่นแถวโรงแรมที่ย่านอิเคะบุคุโระในตอนเช้าก่อนออกเดินทางไปยังโอซาก้า แต่ทว่า....
ทุกอย่างมันผิดแผนหมดเพราะแผนที่วางไว้คือ เดินเล่นตามห้างพวก Sunshine City อะไรประมาณนี้ เราออกจากโรงแรมตั้ง 9 โมงเช้า แต่ห้างเปิด 11 โมง (ตอนนั้นยังไม่รู้) เช็คเอ้าท์จากโรงแรมเสร็จก็ต้องทิ้งกระเป๋าในโรงแรมก่อนแล้วเดินในอิเคะบุคุโระอย่างไร้จุดหมาย จากรอบๆโรงแรมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของสถานีรถไฟ ข้ามไปยังฝั่งตะวันออกที่จะมีร้านขายค้า และห้างมากมาย
สถานีรถไฟขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งจะมีห้างสรรพสินค้าสร้างประกบกับตัวสถานี ทำให้สถานีรถไฟเป็นศูนย์กลางของเมืองได้โดยปริยาย อย่างที่สถานีอิเคะบุคุโระจะมีห้าง Tobu และห้าง Seibu ซึ่งก็เป็นเอกชนผู้ให้บริการรถไฟเหมือนกัน
แทนที่จะเดินทะลุสถานีรถไฟ ผมเลือกเดินผ่านสะพานข้ามทางรถไฟที่อยู่ไม่ไกล แม้จะอ้อมหน่อย แต่ได้ชมรถไฟท่ามกลางลมเย็นๆมันก็ผ่อนคลายดี
ฝั่งตะวันออกมันจะคล้ายๆสยามสแคว์คือมีร้านเล็กร้านน้อย ห้างขนาดกลางขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ปัญหาคือตอนเช้าเปิดแค่ไม่กี่ร้าน เราเลยเดินพุ่งไปห้าง Sunshine City แบบดูแผนที่ข้างทางนิดหน่อย เพราะจำทางไม่ค่อยได้
![]() |
ฝั่งตะวันออกของสถานีก็เป็นห้าง Seibu |
เห็นร้าน Denny's แล้วทำให้นึกถึงตอนเที่ยวอเมริกาเพราะเป็นร้านแรกที่ไปทานตอนมาถึงใหม่ๆ |
พอมาถึงห้าง Sunshine City ก็ผิดหวังเพราะร้านค้าแทบไม่เปิดเลย แต่เค้าก็ให้เดินข้างในห้าง ก็พอมีคนญี่ปุ่นเดินรอห้างเปิดอยู่บ้าง แค่ไม่มีร้านอะไรเปิดให้เข้าดูเลย
สำหรับห้าง Sunshine City จะเป็นห้างใหญ่ประจำอิเคะบุคุโระเลย เพราะนอกจากการเดินช้อปยังมีอะไรให้ทำมากมาย เช่นพวกพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือสวนสนุกย่อมๆอย่าง Namja Town, J-World
โดยเค้าว่ากันว่าสามารถเที่ยวในห้างนี้ได้ทั้งวันเลย
จะว่าเป็นเช้าที่เสียเวลาไหม ก็ไม่เชิง แต่อยู่ไปก็คงเสียเวลาเปล่าๆเลยตัดสินใจกลับโรงแรมไปเอากระเป๋า ซื้อของกินเล่นบ้างระหว่างทางกลับ เพราะหลังจากนี้จะต้องเดินทางกันไกล เพื่อไปยังโอซาก้าด้วยรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น
เนื้อหาหลังจากนี้จะอยู่ในคลิปตอนที่ 3
การเดินทางต้องไปที่สถานีโตเกียว โดยจากโรงแรมก็ต้องเดินไปยังสถานีอิเคะบุคุโระที่คุ้นเคย ใช้ Japan Rail Pass ขึ้นรถไฟ JR สาย Saikyo แล้วไปเปลี่ยนสาย Chuo (Rapid) ที่สถานีชินจูกุ ตรงไปยังปลายทางสถานีโตเกียว เหตุผลที่เลือกสาย 2 สายนี้เพราะดูเป็นสายที่เดินทางคล่องตัวสุด จอดน้อยที่สุด เมื่อเที่ยบกับนั่งสาย Yamanote ยาวไปถึงโตเกียว เพราะกระเป๋าเราใบใหญ่ ไม่อยากขวางคนเข้าออกหลายหน ถึงจะได้นั่งก็ตาม และอีกอย่างรถไฟสาย Chuo (Rapid) สุดทางที่สถานีโตเกียวเราจึงไม่ต้องกังวลว่าจะลงผิดสถานีหรือออกจากรถไฟช้า
รถไฟสาย JR Saikyo |
เปลี่ยนสายที่สถานีชินจูกุ |
ที่ต้องระวังช่วงเปลี่ยนสายรถไฟที่สถานีชินจูกุคือสาย Chuo (Rapid) มีแถบสีส้ม แต่มันจะมีสาย Chuo-Sobu (Local) แถบสีเหลือง ที่วิ่งคู่กันแต่เป็นรถธรรดาจอดทุกสถานี เมื่อใกล้โตเกียวจะแยกทางไปอากิฮาบาระไปถึงชิบะ พูดง่ายๆคือไม่ผ่านสถานีโตเกียวนั้นเอง ฉะนั้นต้องมองหาสีส้มเท่านั้น
ถึงสถานีโตเกียวก็พอมีเวลาประมาณครึ่งชม.ที่จะรอรถไฟชินคันเซ็นไปยังโอซาก้า เส้นทางที่เราควรดูเมื่อใช้ชินคันเซ็นไปโอซาก้าคือเส้นทาง Tokaido เพราะเป็นเพียงเส้นทางเดียวที่จะลงใต้ไปยังนาโกย่า, เกียวโต, โอซาก้า, ฮิโรชิม่า, ฮากะตะ(ฟุกุโอกะ) สัญลักษณ์จะเป็นแถบสีฟ้า
ก่อนออกจากโตเกียวก็มีแวะซื้อโตเกียวบานาน่านิดนึง |
การเดินทางวันนี้จะใช้ Hikari 515 (ออก 13.33น.) เนื่องจาก Japan Rail Pass ไม่สามารถใช้กับ Nozomi ซึ่งเป็นรถเร็วสุดได้ เลยต้องใช้รถที่เร็วรองลงมาคือ Hikari การขึ้นจะต่างกับเมื่อวานที่นั่ง Hakutaka ไปโอมิยะ โดยเมื่อวานถือ Japan Rail Pass ขึ้นตู้ Non-Reserved ได้เลย แต่วันนี้จะขึ้นตู้ Reserved ซึ่งทำการจองได้ฟรีสำหรับคนที่ถือ Japan Rail Pass แต่เราทำมาก่อนแล้วเมื่อวาน วันนี้เลยไปที่ชานชาลาได้เลย การขึ้นตู้ Reserved จะต้องมีตั๋วจองที่นั่ง มันเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลและเส้นทางนั้นคนเยอะๆ โตเกียวไปโอซาก้าเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะคนเยอะทุกขบวน ฉะนั้นต้องมีตั๋วจองที่นั่งและมาก่อนเวลาจะดีที่สุด
ตั๋วจองที่นั่ง ควรเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ |
ระหว่างรอรถไฟเข้าชานชาลา ตำแหน่งที่ผมยืนมันเป็นจุดต่อระหว่างตู้ Reserved (ตู้ที่ 6) กับ Non-Reserved (ตู้ที่ 5) จึงเห็นความแตกต่างของปริมาณคนได้อย่างชัดเจน แถวที่ผมยืนมีเพียง 3-4 คน ขณะที่แถว Non-Reserved มีประมาณมากกว่า 10 คนต่อแถว การจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าจะสบายใจว่าไม่ต้องมาแย่งที่นั่งกับคนอื่น แถมมันอาจมีความเสี่ยงที่จะต้องยืนหากที่นั่งเต็ม
เมื่อรถไฟเข้าชานชาลาก็มีเวลาไม่กี่นาทีให้พนักงานทำความสะอาดรถ เพราะเป็นขบวนรถที่ใช้ต่อหลังจากส่งผู้โดยสายออกหมดแล้ว พวกพนักงานทำความสะอาดเขาทำงานได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เช็ดกระจก สลับด้านเก้าอีก เปลี่ยนผ้ารองเบาะ แป๊ปเดียวก็เสร็จ
และแล้วระหว่างหาที่นั่งตามที่ระบุบนตั๋วอยู่งานก็เข้า.....
และแล้วระหว่างหาที่นั่งตามที่ระบุบนตั๋วอยู่งานก็เข้า.....
โชคดีว่าผู้หญิงคนนี้ฟังอังกฤษได้ เขาก็ Sorry แล้วไปนั่งที่เขา ตอนแรกก็กังวลว่าถ้าแปลผิดขึ้นมาจะทำไง ยังดีที่ตัดสินใจถูก เพราะระหว่างทางก็มองดูว่าเขายังอยู่ที่นั่งเดิมหรือเปล่า ปรากฏว่าใช่ พนักงานตรวจตัวไปก็ดูไม่มีปัญหา ถือว่าเรารอดตัวไป
เราไม่รู้ว่าบนตั๋วภาษาญี่ปุ่นเขาเขียนว่าอะไร ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงอ่านสลับ หรือเพราะเค้าอ่านจากขวาไปซ้าย 555 ใครรู้บอกที
การเดินทางไปโอซาก้าใช้เวลา 3 ชม.ก็ถึงที่สถานีชินโอซาก้า (Shin-Osaka)
ความผิดพลาดแรกที่ไปถึงคือยืนบันไดเลื่อนผิดฝั่ง ก่อนหน้านี้ที่โตเกียวยืนชิดซ้ายจนชิน พอมาแถบคันไซต้องชิดขวา มันเลยปรับตัวไม่ถูก
จากสถานีชินโอซาก้า ไปโรงแรมโดยการเดินออกจากประตูกลาง ไปตามทางรถไฟ Subway เดินประมาณ 10 นาที โรงแรมชื่อ Shin-Osaka Sunny Stone เป็นโรงแรมที่โอเคมาก ราคาถูก ห้องสะอาด หรูหราทีเดียว นอนคนเดียวสบาย
ตอนเย็นก็เริ่มเดินทางไปยังย่านชินไซบาชิ/นัมบะที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบไปถ่ายป้ายกุลิโกะ
จากโรงแรมมีสถานี Subway สาย Midosuji อยู่ใกล้ๆชื่อสถานียาวมากคือ Nishinakajima-Minamigata ใครตั้งก็ไม่รู้ ผมต้องอยู่จนถึงวันสุดท้ายถึงจะจำชื่อสถานีได้ สำหรับ Subway ของโอซาก้าก็คล้ายๆกับรถไฟใต้ดินของโตเกียว เพียงแต่ดูเก่ากว่าประมาณ 20 ปีได้ เสียงประกาศใช้คนประกาศไม่มีภาษาอังกฤษ หูต้องดีหน่อย แต่ฟังไม่ยากชานชาลา 1 ไปทาง Namba |
จากที่นี่สามารถนั่งรถไฟตรงไปยังสถานีชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ได้เลย
ชินไซบาชิเป็นย่านช้อปปิ้งที่เป็นถนนยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มิทิศมุ่งหน้าไปยังป้ายกุลิโกะ ตอนเย็นๆถนนนี้คนจะเยอะมาก
แล้วก็ได้ลองของทอดเสียบไม้ร้านดังชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้ แต่ลุงเจ้าของร้านเด่นสะดุดตามาก ที่ประทับใจคือพนักงานผู้ชายที่ให้บริการผมตั้งแต่รับออร์เดอร์, เสริฟน้ำ, ทอดอาหาร คือคนเดียวกัน แล้วเป็นคนที่เสียงต้อนรับลูกค้าดังสุดในร้านตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่น
พอฟ้าเริ่มมืดก็รีบเดินไปยังป้ายกุลิโกะ รู้ว่าถึงก็ต่อเมื่อเห็นคนถ่ายรูปกันเยอะแยะ ใครอยากหาคนไทยหาได้ไม่ยาก เราได้ยินภาษาไทยหลายประโยคมาก
ถนนนี้มีชื่อว่าถนนโดทมโบริ เพราะอยู่เลียบคลองโดทมโบริ รอบๆบริเวณก็มีป้ายไฟแสงสีจากร้านขายอาหาร และร้านของฝากเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นขาปูยักษ์, ทาโกะยากิ เป็นต้น เรียกได้ว่าเลือดนักช้อปขนมในตัวเรามันพุ่งเลย (ที่โตเกียวมีแต่เสื้อผ้าของใช้จุกจิก เราเฉยๆ แต่พอมาโอซาก้าเห็นขนมมันอดไม่ได้จริงๆ)
ถนนนี้มีชื่อว่าถนนโดทมโบริ เพราะอยู่เลียบคลองโดทมโบริ รอบๆบริเวณก็มีป้ายไฟแสงสีจากร้านขายอาหาร และร้านของฝากเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นขาปูยักษ์, ทาโกะยากิ เป็นต้น เรียกได้ว่าเลือดนักช้อปขนมในตัวเรามันพุ่งเลย (ที่โตเกียวมีแต่เสื้อผ้าของใช้จุกจิก เราเฉยๆ แต่พอมาโอซาก้าเห็นขนมมันอดไม่ได้จริงๆ)
![]() |
ปูยักษ์ร้าน Kani Doraku Honten |
ซื้อขนมมาเยอะพอสมควร ที่เด่นๆคือป๊อกกี้ยักษ์ 7 สีราคาประมาณพันกว่าเยน มี 21 แท่ง 7 รสใน 1 กล่อง (ไม่มีรูปให้ดู)
ร้านขนมของฝากกุลิโกะ |
ตุ๊กตาตีกลองอันเลื่องชื่อของโอซาก้า |
ร้านขายของฝากดองกี้ |
คืนแรกที่โอซาก้าส่วนตัวถือว่าน่าประทับใจ เพราะมีของกินของฝากที่ตัวเองชอบอยู่รอบทิศ ต่างกับโตเกียวที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่า มาครั้งแรกก็มีของฝากที่คนเดียวจะถือไหวติดไม้ติดมือเยอะพอสมควร
เดินชิวคนเดียวไปเป็นชั่วโมง ประมาณ 2-3 ทุ่มก็ต้องกลับโรงแรม เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าไปนาระกับเกียวโต แต่ตอนนั้นมีแผนไว้อยู่แล้วว่าจะกลับมาที่นี่อีกในวันสุดท้าย (ซึ่งไม่มีในรีวิว)
วิธีกลับโรงแรมใช้รถไฟสาย Midosuji ที่สถานีนัมบะ (Namba) นั่งย้อนกลับไปทางเดิม
แผนที่เส้นทางการเดินทางโดยประมาณ
สีแดงคือเส้นทางการเดินทาง สีน้ำเงินคือเส้นทางไป-กลับจากโรงแรม
อ่านวันที่ 5 เยี่ยมเมืองเก่าอ่านวันที่ 6 เกาะกระต่ายอันลึกลับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น