วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองคนเดียว วันที่ 5 เยี่ยมเมืองเก่า

เมื่อมาอยู่ภูมิภาคคันไซแล้ว เมืองที่ไม่ควรพลาดเลยคือ 2 เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น นั้นคือนารา (Nara) และเกียวโต (Kyoto) ซึ่งก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคนี้ เพราะเต็มไปด้วยวัดโบราณเก่าแก่สวยงามมากมาย

แผนวันนี้คือตอนเช้าไปนารา ตอนบ่ายไปเกียวโต เมื่อดูแผนที่แล้วมันจะเป็นวงกลม ไม่ได้กลับทางเดิม

พยากรณ์อากาศบอกวันนี้จะมีฝนตกเล็กน้อย แต่จริงๆก็ไม่เจอฝนตกเลย เพียงแต่มีเมฆมาก ทำให้วันนี้ไม่มีแดด เดินได้สบายทั้งวัน ติดแค่ว่าถ่ายรูปแล้วแสงจะไม่สวยเลย

การเดินทางเริ่มจากสถานีชินโอซาก้า (Shin-Osaka) ใช้ Japan Rail Pass ผ่านเข้าประตู JR แล้วต้องหาป้ายชานชาลาที่เขียนว่าไปสถานีโอซาก้า (Osaka) คือชานชาลา 16
ในแผนที่วางไว้คือขึ้นรถไฟเที่ยว 7.30 น. แต่เขาประกาศว่ายกเลิกขบวนรถ ทำให้ตอนนั้นผมงงชีวิตมาก ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร ยืนเอ๋อบนชานชาลา 16 หวังว่ารถไฟอะไรเข้ามา กรูจะขึ้นขบวนนั้นแหละ
อันนี้คือรถไฟชานชาลาตรงข้าม
แล้วพอดีเวลา 7.38 น. รถไฟธรรมดาที่ผมไม่ว่าสายอะไรก็เข้ามา ผมก็เดินเข้าไปอัดเป็นปลากระป๋องกับคนญี่ปุ่น ปรากฏว่าเสียงประกาศ (เป็นภาษาญี่ปุ่น) บอกสถานีต่อไปสถานีโอซาก้า เราก็โล่งใจเปราะนึง ย่ำว่าแค่เปราะเดียวเพราะสิ่งต่อไปที่ต้องเจอคือการวิ่งไปขึ้นรถไฟสาย Yamatoji เที่ยว 7.44 น. ที่สถานีรถไฟใหญ่ที่สุดในโอซาก้า

ให้ตายสิ มีเวลาแค่ไม่กี่นาที ผมวิ่งแบบไม่สนใจทาง มัวแต่มองหาป้ายที่เขียนว่า Nara ยังดีที่ดีว่าบนจอค่อนข้างเด่นพอสมควร โดยนำทางไปยังชานชาลา 1
สาย Yamatoji เที่ยวนี้เป็น Regional Rapid เลยมีสีส้มบนป้าย มองเห็นชัดเจน
สถานีโอซาก้า
โชคดีที่มาทัน แล้วยังมีรถไฟสาย Osaka Loop Line เข้าชานชาลาก่อน เลยมีเวลาพักเหนื่อย แต่อย่าเพิ่งสบายใจ...
ชานชาลาของญี่ปุ่นเป็นแบบต่อแถวตามสัญลักษณ์สามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยม และวงกลมที่ปรากฎบนจอแสดงเช่น สาย Yamatoji สัญลักษณ์สามเหลี่ยม เราต้องต่อแถวหลังรูปสามเหลี่ยมบนพื้นชานชาลา เพราะประตูรถไฟจะอยู่ตรงนั้น ถ้าเป็นขบวนอื่นก็เป็นแถวสี่เหลี่ยม หรือวงกลม เพื่อให้ชานชาลาหนึ่งรองรับแถวผู้โดยสารได้มากขึ้น

แน่นอนว่ามือใหม่อย่างผม เห็นคนต่อแถวก็ต่อตามแบบไม่รู้เรื่องเลย แต่พอเริ่มสงสัยว่าทำไมไม่มีใครมาต่อหลังเรา อืม...ยืนผิดที่ กว่าจะรู้ตัวเกือบไม่ได้ขึ้นแล้ว ดีที่ไหวตัวทัน

เมื่อรถไฟเข้ามา สิ่งที่เห็นคือไม่มีที่นั่ง!

ให้ตายสิ เช้าที่วุ่นวาย แถมต้องเดินทางอีก 1 ชั่วโมง เหนื่อยนะ... ระหว่างยืนอยู่ก็เหลือบไปเห็นที่นั่งสำรองเล็กๆเป็นแบบพับเก็บ อยู่ตรงฝั่งประตู เราก็นั่งเลย แคบๆแข็งๆหน่อยแต่ก็ยังดี


รถไฟสาย Yamatoji เป็นรถไฟของ JR  ที่สามารถเดินทางจากโอซาก้าไปนาราได้ แต่คนส่วนใหญ่จะใช้บริการรถไฟเอกชน Kintetsu มากกว่าเพราะเดินทางสะดวก และมีสถานีใกล้สวนนารา แต่สถานีนาราของ JR มันอยู่ในตัวเมือง ถ้าจะไปสวนนาราต้องต่อรถบัสไปอีก

รถบัสจากสถานีนาราไปสวนนาราคือสาย 2 ซึ่งขับเป็นวงกลมเวียนขวา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ลงที่ป้าย Daibusuden Kasugataisha-mae ราคา 210 เยน ตลอดทาง วิธีขึ้นรถบัสของญี่ปุ่นคือเข้าทางประตูหลัง ออกทางประตูหน้า จ่ายเงินกับคนขับนะ
สิ่งแรกที่ต้องเจอเมื่อมาถึงนาราคือกวาง ฝูงกวางเดินทั่วไปหมด ไม่มีกั้นรั้วอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะแถวสวนนาราที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เป็นที่ที่คนมักจะเอาขนมเซมเบ้ให้น้องกวางกิน
ช่วงสายๆจะเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นจีนซ่ะด้วยสิ

วัดที่เราจะเดินเข้าไปคือวัดโทไดจิ เป็นวัดสำคัญเก่าแก่ของญี่ปุ่น อายุกว่าพันปี มีวิหารไม้ซึ่งประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) โดยวิหารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย
ก่อนเข้าตัววัด ต้องผ่านซุ้มประตูไม้ขนาดใหญ่ "นันไดมง" ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบจีน สร้างด้วยไม้ซุงขนาดใหญ่กว่า 18 ต้น
ซุ้มประตูไม้ "นันไดมง"
เทพทวารบาลไม้แกะสลัก มีอยู่ 2 ด้านของซุ้มประตู ชื่อ"อา"และ"อุน"
ค่าเข้าวิหาร 500 เยน

วิหารไดบุทสุเดน
ภายในวิหารไดบุทสุเดน จะพบกับพระพุทธรูปไดบุทสุ หรือองค์พระไวโรจนะพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าที่มีรัศมีส่องสว่างทั่วจักรวาลดุจดวงอาทิตย์ ตามความเชื่อของคนพุทธแถบจีน, เกาหลี และ ญี่ปุ่น) องค์พระทำจากบรอนซ์ ประทับอยู่ในปางขัดสมาธิเพชร มีความสูง 14.98 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 752
เบื้องขวามีพระอากาศครรภ์โพธิสัตว์ และเบื้องซ้ายมีพระจินดามณีอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ประดิษฐานอยู่
แบบจำลองวัดสมัยที่ยังสมบูรณ์
หลังจากชมวัดเสร็จเรียบร้อย ยังมีเวลาให้นั่งพักผ่อนชมกวางที่บริเวณสวนนารา บางช่วงก็อยากอยู่ใกล้ๆกวาง เลยหาที่นั่งที่ใกล้ฝูงกวาง ส่วนใหญ่กวางจะนอนมากกว่า 

คงเบื่อคนแล้วสิ 

แต่ถ้ามีขนม, ซื้อไอศครีมมาทานเล่น ซึ่งผมก็หยิบมากินแก้หิว กวางก็เดินมาสนใจอยู่เหมือนกัน ทำให้ต้องกินไประแวงไป
นั่งแช่บนเก้าอี้เป็นคนแก่ในสวนจนมีแรงพอเดินทางต่อ ก็เดินไปยังป้ายรถบัสเพื่อที่จะกลับสถานีนารา แต่ป้ายรถบัสพอเดินออกจากทางเข้าสวน ให้ข้ามถนนแล้วเลี้ยวขวา ป้ายจะอยู่ก่อนถึงพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
นาราคงเป็นเมืองเดียวที่มีป้ายระวังกวางในเมือง
รถบัสที่ใช้คือสาย 1 ซึ่งวิ่งเป็นวงกลมเหมือนกัน แต่วิ่งในทางตรงกันข้ามกับสาย 2
สถานที่ต่อไปคือเกียวโต เมืองหลวงเก่าอีกแห่งของญี่ปุ่น วิธีการเดินทางจากนาราด้วยรถไฟ  ต้องใช้สาย JR Nara เท่านั้น ซึ่งที่แรกที่จะแวะคือศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari)
ที่ตั้งของศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริจะอยู่ติดกับสถานีอินาริ (Inari) ของสาย JR Nara เลย แต่วิธีการเดินทางมี 2 แบบ คือนั่งรถไฟสายท้องถิ่น (Local) ตรงไปจากสถานีนาราถึงสถานีอินาริ ใช้เวลาประมาณ 70 นาที กับนั่งรถเร็ว (Rapid) จากสถานีนาราแล้วไปเปลี่ยนเป็นรถธรรมดาที่สถานีโทฟุคุจิ (Tofukuji) ซึ่งใช้เวลาเร็วกว่า 10-15 นาที เพราะรถเร็วจะไม่ผ่านสถานีอินาริ
แต่เนื่องจากผมหาข้อมูลไม่ดีพอ แค่ค้น Hyperdia จากสถานีนาราถึงสถานีอินาริ ในเว็บบอกว่าให้ขึ้น Rapid แล้วไปเปลี่ยนเป็น Local ที่สถานีอุจิ (Uji ไม่ใช้อุนจินะ อย่าสับสน 555

ซึ่งสถานีนี้อยู่ประมาณครึ่งทางได้ (แต่ถ้าไปลงที่สถานีโทฟุคุจิจะอยู่เลยสถานีอินาริแค่สถานีเดียว) เหตุการณ์ตอนนั้นคือพอถึงสถานีอุจิแล้ว ผมก็ออกจากรถไฟ เห็นรถไฟสีเขียวสภาพเก่ากว่ารถ Rapid ที่นั่งมาอยู่ตรงชานชาลาข้างๆก็ไม่แน่ใจว่าคือรถ Local หรือเปล่า เดินเข้าไปในรถ ดูแผนที่เหนือประตูแล้วสตั้น 10 วิ เพราะแผนที่รถไฟญี่ปุ่นมันซับซ้อนดูไม่ออกว่ารถไฟขบวนนี้คือสายไหน (ตอนนั้นไม่รู้ว่าทั้งเส้นทางมีแต่สาย JR Nara) ทำให้กลัวว่าจะไปโผล่ที่อื่น เลยออกจากรถขบวนนั้นไปรอรถขบวนถัดไปอีก 10 นาที

ผ่านไป 10 นาที ขบวนที่กำลังเข้ามาหน้าตาเหมือนขบวนนั้นเป๊ะ รู้เลยว่าเสียเวลา 10 นาทีเพราะออกจากขบวนก่อนหน้า ต้องใช้เวลาเดินทางในรถ Local อีกเกือบครึ่งชม.กว่าถึงสถานีอินาริ

สรุปว่ารถไฟสาย JR Nara แบบ Rapid ตัวรถจะใหม่ และที่นั่งหันข้างให้หน้าต่าง ส่วนรถ Local จะเก่า ทาสีเขียว ที่นั่งหันหน้าชนกันแบบรถไฟฟ้า (ในคลิปจะมีรูป)
เมื่อเห็นเสาโทริอิขนาดใหญ่ แน่นอนว่าที่นี่คือศาลเจ้าของศาสนาชินโต ซึ่งศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ หรือศาลเจ้าจิ้งจอกขาว เป็นที่รู้จักจากอุโมงค์โทริอิที่เรียงรายกว่าหมื่นต้น ยาว 4 กิโลเมตร
ภายในจะมีรูปปั้นและสัญลักษณ์ที่เป็นสุนัขจิ้งจอก เพราะเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาส์นของเทพเจ้า มีฤทธิ์แปลงกายเป็นมนุษย์ได้
การเดินลอดอุโมงค์โทริอิจะเริ่มจากด้านหลังศาลเจ้าที่จะมีทางขึ้นเขาคดเคียวไปมา ยาวจนถึงยอด เขาซึ่งใช้เวลานานและเหนื่อยพอสมควร หากใครที่ตั้งใจจะขึ้นไปถึงยอดก็เผื่อแรงกับเผื่อเวลาไว้ด้วย

สำหรับศาลเจ้านี้ไม่เสียค่าเข้าชม

เสาโทริอิจำนวนมากมายเหล่นนี้ มีที่มาจากบริษัทห้างร้านต่างๆได้สร้างมาไว้เพื่อถวายแด่เทพเจ้าหลังการมาขอพรแล้วกิจการรุ่งเรื่อง โดยเสาแต่ละต้นจะมีชื่อของบริษัทติดอยู่นั้นเอง
ผมตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ 1 ชม.เท่านั้น ทำให้สามารถเดินไปแค่ตีนเขา แต่ก็ได้รูปอุโมงค์โทริอิจนพอใจแล้ว ขากลับก็แวะพักผ่อนที่ถนนคนเดินข้างๆศาลเจ้า เดินออกมาจากศาลเจ้าแล้วเลี้ยวขวา
หลังจากพักเหนื่อยเสร็จแล้ว สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือวัดคิโยะมิสึ (Kiyomisu-dera)  ต้องกลับไปที่สถานีอินาริเพื่อที่จะนั่งรถไฟไปลงที่ปลายทางสถานีเกียวโต ใช้เวลาแค่ 5 นาที
รถไฟท้องถิ่น (Local) สาย JR Nara
สถานีเกียวโต
สถานีเกียวโตเป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่ทีเดียว แต่จะไม่ขึ้นรถไฟต่อแล้ว เพราะการเดินทางในเกียวโตที่สะดวกกว่าคือการใช้รถบัส โดยสายรถบัสที่จะไปวัดคิโยะมิสึจากสถานีโตเกียวจะมีอยู่ 2 สาย คือสาย 100 กับ 206

หากใครสงสัยเส้นทางของรถบัสเกียวโต มันจะมีแผนที่ขนาดใหญ่หน้าทางออกสถานีฝั่งป้ายรถบัส ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวอยู่ ที่ผมเจอคือเป็นลุงพนักงานยืนคนเดียวคอยตอบคำถามให้ชาวต่างชาติ ตอนแรกผมก็อยากไปถามให้ชัวร์ เพราะสายรถบัสมันมีเยอะจริงๆ แต่ลุงดูคิวเยอะ บวกกับเราก็หาข้อมูลมาพอสมควร เลยเดินไปที่ป้ายรอเลย

บังเอิญเจอป้ายสาย 100 ก่อน แล้วคิวยาวมากพอสมควรเพราะวัดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
วิธีการขึ้นรถบัสก็เหมือนเดิมคือเข้าที่ประตูหลังออกประตูหน้า ราคา 230 เยนตลอดสาย
ลงจากรถบัสที่ป้าย Gojozaka ก็เดินข้ามถนนตามคนเยอะๆ ตรงขึ้นเนินอีก 10 นาที บอกเลยว่าถึงจุดนี้เหนื่อยมากๆ เพราะเพิ่งขึ้นเขาที่อินาริมาไม่นาน แถมแบกอุปกรณ์หนักมากอย่างกล้องถ่ายรูป และขาตั้งกล้องตามเคย แต่นอกจากการเดินมีอีกวิธีคือแท็กซี่ที่รู้ๆกันอยู่ว่าแพงมาก

ถึงเหนื่อยก็ต้องทน
บังเอิญว่าทางที่เดินไม่ใช่ทางหลัก อ้อมนิด เลยไม่เจอร้านค้า หรือนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่ก็มาถึงได้เหมือนกัน

วัดคิโยะมิสึ หรือวัดน้ำใสเป็นวัดศาสนาพุทธ นิกายฮอสโซ มีพระโพธิสัตว์พันกรเป็นพระประธาน วัดนี้อายุเก่ากว่ากว่าพันปีได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเหมือนกับวัดโทไดจิที่นาราเลย ที่มาของชื่อวัดน้ำใส เพราะมีน้ำพุธรรมชาติที่ไหลจากเขาโอโวะ ซึ่งมีความใสแล้วเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์

ใครที่มาเกียวโตแล้วไม่ได้มาที่วัดคิโยะมิสึถือว่ายังมาไม่ถึง
ซุ้มประตูไม้สีส้มเป็นจุดแรกที่นักท่องเที่ยวจะมาถ่ายรูปกัน ใกล้ๆจะเห็นเจดีย์สามชั้นด้วย
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 300 เยน, เด็ก 200 เยน
จุดแรกที่ไปถึงคืออาคารไม้โบราณที่มีระเบียงยื่นออกไปยังหน้าผา ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์พันกร จากระเบียงสามารถชมวิวรอบๆวัดจนไปถึงเมืองเกียวโตได้
ด้านซ้ายของอาคารหลัก คือศาลเจ้าจิซู สำหรับสักการะเทพแห่งความรัก"โอะคุนินุชิโนะ มิโกะโตะ"
ถึงแล้ววว! มุมมหาชน 

เสียดายที่วันนั้นเมฆเยอะ แสงไม่ค่อยสวย แล้วเป็นฤดูร้อนญี่ปุ่นเลยได้ต้นไม้สีเขียวแทน ใครเคยเห็นภาพมุมนี้จะพบว่าช่วงดอกซากุระบานจะมีแต่ดอกสีชมพูเต็มไปหมด และช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้จะมีสีเหลืองส้มสวยไปอีกแบบ
เห็นวิวหอคอยเกียวโตอยู่ไกลๆ
เมื่อลงจากเขา อีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องทำก่อนกลับคือดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สาย โดยแต่ละสายจะให้พรต่างกัน
  • น้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
  • น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก
  • น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง
โดยเราไม่สามารถดื่ม 3 สายพร้อมกัน เลือกได้แค่สายเดียว (เพราะคนเยอะ)
 ตอนนั้นผมดื่มสายไหนรู้หรือเปล่า...
.
.
.
.
.
ไม่บอก (จำไม่ได้เหมือนกัน 555)
ใครที่กลัวเชื้อโรค เขามีการฆ่าเชื้อกระบวยด้วยแสง UV
(จริงๆถ้าฆ่าด้วย UV แป๊ปเดียวคงฆ่าไม่หมด แต่ดีกว่าเอามาต้มน้ำร้อนแน่นอน ทางที่ดีให้เทน้ำจากกระบวยใส่มือ แล้วค่อยดื่มจะดีกว่า)
เสริมอีกนิดก่อนกลับ ไม้ซุงที่เห็นรองรับส่วนระเบียงอยู่นั้น มีทั้งหมด 139 ต้น ใช้วิธีการสอดสลักโดยไม่ต้องใช้ตะปูแม้แต่อันเดียว
เสร็จสิ้นสำหรับการเที่ยวในวันนี้ จบด้วยการเดินผ่านถนนคิโยะมิสึซากะ ซึ่งเป็นถนนละลายทรัพย์ มีร้านของฝาก ร้านขนม ร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวซื้อก่อนกลับ(ขึ้นรถทัวร์)เต็มไปหมด แต่ผมมาเองสิ ก็หาซื้อขนมทานเล่นๆนั่งพักผ่อนตามเคย ของฝากแทบไม่มีติดตัว
ตกเย็นคนเริ่มกลับกันเยอะ ผมก็เดินไปป้ายรถบัสใกล้สุด ต่อแถวรอรถตามปกติ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยอย่างผมประหลาดใจแบบสุดๆคือ
.
.
.
ลองนึกสภาพถนน 4 เลนแคบๆ แล้วรถติดอีกต่างหาก มองไปเห็นรถบัส 3 คันติด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสาย 206 ที่ไปสถานีเกียวโต เมื่อคันแรกเข้าป้ายได้ก็เปิดประตูรับผู้โดยสาร ถ้าเป็นเมืองไทยรถเมล์ด้านหลังอีก 2 คันก็จะเปิดประตูแล้วให้ผู้โดยสารวิ่งขึ้นมาเองใช้ไหม แต่ที่ญี่ปุ่นไม่.....ถ้าไม่ถึงป้าย ฉันไม่เปิดประตู

เห้ยยย อยู่ห่างไม่กี่เมตรจากป้ายก็ไม่เปิด รถก็ติด ที่อึ้งคือไม่ได้หงุดหงิด แต่โคตรๆๆๆประทับใจในระเบียบและความอดทนของคนญี่ปุ่นมากๆ รถเมล์ไทยตกเหวไปเลย
กลับมาที่สถานีเกียวโต ตอนแรกว่าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้จนถึงกลางคืน แต่เนื่องด้วยแผนวันพรุ่งนี้ต้องออกจากโอซาก้าแต่เช้า เลยจำใจกลับก่อนเวลา
รถไฟจากเกียวโตไปโอซาก้ามีเยอะมาก ตั้งแต่รถธรรมดาไปจนถึงชินคันเซ็น แต่ถึงแม้ผมจะมี Japan Rail Pass ก็จะไม่ขึ้นชินคันเซ็น เพราะมีเที่ยวน้อยกว่ารถไฟธรรมดามาก รถไฟธรรมดาเลยสะดวกกว่า (ตามตารางข้างล่าง) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที จากสถานีเกียวโตไปสถานีชินโอซาก้าด้วยสาย JR Kyoto
ตารางรถไฟไปโอซาก้าของสาย JR Kyoto
อ่านวันที่ 6 เกาะกระต่ายอันลึกลับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น