วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองคนเดียววันที่ 2 ละลายเงินเยน



อ่านวันที่ 1 บุกโตเกียวครั้งแรก

วันที่ 2 ละลายเงินเยน
ที่ตั้งชื่อแบบนี้เพราะเป็นวันสบายๆที่ช้อปเยอะสุดในทริป
แผนที่วางไว้ตอนแรกว่าจะไปตลาดอะเมะโยโกะ (Ameyoko) ตอนเช้า หลังจากนั้น ค่อยไปวัดเซนโซจิ (วัดอาซากุสะ) แล้วจบด้วยเกาะโอไดบะ แต่ก็ดันเปลี่ยนแผนมั่วไปหมด มาเป็นซื้อของฝากที่โตเกียวสกายทรีก่อน จากนั้นค่อยๆย้อนกลับมาเรื่อยๆ ไปวัดเซนโซจิ และต่อตลาดอะเมะโยโกะ จบด้วยสวนอูเอโนะ ตอนนั้นมีภารกิจในใจว่าต้องหอบขนมโดยเฉพาะคิทแคทกลับมาให้ได้หลายๆรส แต่ยังไม่รู้แหล่งเลยต้องตามหาแหล่งของฝากตามสถานที่ดังกล่าว โตเกียวสกายทรีเลยเข้ามาอยู่ในแผน เพราะได้ยินมาว่ามีของฝากเยอะ

จากโรงแรมที่อิเคะบุคุโระก็เดินมาสถานีรถไฟใต้ดินของ Tokyo Metro ซึ่งจะถึงก่อนสถานีรถไฟของ JR 
(สามารถใช้ JR ได้แต่ต้องต่อ Tokyo Metro อยู่ดี) เนื่องจากไม่ได้ใช้รถไฟของ JR เลยต้องใช้บัตร Suica ที่ซื้อมาพร้อมกับแลกตั๋ว Japan Rail Pass เมื่อวาน
สำหรับเส้นทางที่จะใช้เริ่มด้วย Tokyo Metro สาย Marunouchi จากอิเคะบุคุโระไปยังสถานี Hongo-sanchome เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Oedo ของ Toei (รถไฟใต้ดินอีกเจ้าหนึ่ง) โดยต้องออกสถานีเดินบนดินไปอีกไม่ไกล เพราะสถานีไม่ได้ติดกัน 
จากนั้นก็ต้องไปเปลี่ยนสายอีกทีที่สถานี Kuramae เป็นสาย Asakusa แล้วลงที่สถานี Oshiage ซึ่งจะอยู่ติดกับโตเกียวสกายทรีเลย
 
ห้างที่จะเดินวันนี้คือห้าง Solamachi ซึ่งอยู่ใต้หอคอยโตเกียวสกายทรีเลย แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปบนหอคอย เพราะว่ามันแพง เดินมาชั้นแรกก็เจอร้านขายของเยอะมาก ทั้งร้านอาหาร ร้านของฝาก ร้านขนม เดินได้ทั้งวันเลย 
วิวภายนอก
เดินเตร่ไปได้นานพอสมควรเพราะห้างใหญ่ ขึ้นมาชั้น 6 ก็มีร้านอาหารเยอะ ตั้งแต่ร้านราเม็งเล็กๆ จนถึงร้านบุฟเฟต์ หลังจากหาอะไรทานง่ายๆเร็วๆไปเรียบร้อยแล้ว ก็เจอร้านของฝากร้านนึง อยู่ชั้นอะไรจำไม่ได้ ผมซื้อมาถุงใหญ่เลย เป็นขนมหมด พวกคุกกี้อะไรประมาณนี้ แต่อย่างเคยที่บอก เลือดนักช้อปมันไม่แรง เจอเสื้อผ้า, ของจุกจิก เต็มห้างก็บาย นี่วันที่ 2 เอง ประหยัดเงินในกระเป๋าหน่อย คิทแคทของเรายังไม่เจอเลย ด้วยความโง่หรือหาไม่เจอเอง ทำให้หาคิทแคทที่นี่ไม่เจอเลย
ร้านนี้แหละที่หมดเงินไปเยอะมาก
ของฝากคิตตี้ก็มี
ริงๆน่าจะถ่ายรูปสภาพตัวเองตอนนั้นมา พยายามนึกภาพแล้วกันว่าเราสะพายกระเป๋าเป้ใบนึง+กระเป๋าใบเล็กตรงหน้าตัวอีก 1 ใบ+คล้องกล้อง Canon 60D 1 ตัว+กล้อง Action cam ที่ติดกับ Monopod ถอดครึ่งเพื่อให้เสียบในกระเป๋ากางเกงได้+ถือกล้อง Compact ด้วยมือขวาถ่ายวิดีโอไปด้วย+ขนมถุงใหญ่ๆที่ต้องถือด้วยมือซ้ายที่เหลืออยู่ อยากจะบอกว่าเป็นการแต่งกายเที่ยวที่รันทดที่สุดเท่าที่เคยทำมา มันเลยทำให้มีทั้งรูปถ่ายกับคลิปวิดีโอมาได้ แต่แลกกับความเมื่อยแบบสุดๆ ใครดูคลิปจะเข้าใจว่าทำไมหลังๆชอบบ่นเมื่อย ที่บรรยายมานี่แค่ครึ่งวันเช้านะ มีไปต่ออีก

ที่ต่อไปที่จะไปคือวัดเซนโซจิ (ขอไม่เรียกวัดอาซากุสะเพราะจะเรียกตามชื่อวัดจริงๆ วัดอาซากุสะเป็นแค่ชื่อที่คนไทยชอบเรียกกัน) วัดนี้ถือเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของโตเกียว เป็นสถานที่ที่ใครมาโตเกียวแล้วไม่ได้มาวัดนี้ ถือว่ายังมาไม่ถึง

วิธีการไปของเรานี่แปลกหน่อย ใช้การเดินหลงเป็นหลัก บอกไม่ได้จริงๆว่าเราเดินไปทางไหน แม้แต่ทางกลับยังจำไม่ได้ แต่เดินผ่านบริเวณที่จะขึ้นหอคอยอะ
หน้าห้าง Solamachi
ออกมาข้างนอกไม่รู้ว่าตัวเองควรไปทางไหนดี (ข้อเสียของการเปลี่ยนแผนกระทันหันคือไม่รู้ทางเลย แผนที่ก็ไม่มี) เจอป้ายบอกทางไปยังสถานีรถไฟใกล้ๆคือสถานีโตเกียวสกายทรีของ Tobu ซึ่งเป็นสายเอกชน จะต้องเดินทะลุลานจอดรถแล้วจะเห็นทางรถไฟที่มีสถานีอยู่ใกล้ๆเลย
สำหรับรถไฟสายนี้สามารถใช้บัตร Suica ได้ แต่ใช้ Japan Rail Pass ไม่ได้เช่นเคย สถานีที่เราจะลงคือสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟ Tobu นั่งจากที่นี่เพียง 5 นาที ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เดินไปรอที่ชานชาลาที่เขียนว่า Asakusa เห็นรถไฟขบวนแรกก็ขึ้นเลย ถูกขบวนด้วย สกิลหาทางไปจุดหมายแบบไม่หลงยังทำงานดีอยู่ ทั้งๆที่เราไม่ได้หาข้อมูลเส้นทางนี้เลย
พอถึงสถานีอาซากุสะเรียบร้อย จะเห็นเจ้าหน้าที่ยื่นอยู่ตรงประตูรถไฟทุกบาน คอยวางทางเดินให้เราออก เพราะช่องว่าระหว่างรถไฟกับชานชาลามันกว้างมาก เนื่องจากตำแหน่งที่ตู้รถไฟที่เราอยู่จอดตรงทางโค้ง
ออกจากสถานีก็ตามคนส่วนมาไปเลย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ป้ายมีเยอะ นักท่องเที่ยวเยอะ เราก็เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงหน้าประตูที่มักเป็นจุดแรกที่คนจะหยุดถ่ายรูปกัน นั้นคือประตูคะมินะริมง (Kaminarimon)
จะเจอตึกเบียร์อาซาฮีระหว่างทาง
ประตูคะมินะริมง
ผ่านประตูนั้นก็เป็นถนนนากะมิเซะ (Nakamise Dori) ซึ่งมีของฝากเยอะ พวกเครื่องราง, พวงกุญแจ, เครื่องแต่งกาย, ขนม, ของกินต่างๆ แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรฝากกลับมาหรอก เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น
เห็นป้ายนี้มีภาษาไทยติด 1 ใน 4 บ่งบอกถึงประมาณคนไทยได้เยอะจริงๆ
ซาลาเปาทอดไส้คัสตาร์ท 170 เยน
ตามตำนานวัดเซนโซจิสร้างเมื่อปีค.ศ. 628 จากการที่มี 2 พี่น้องชาวประมงมาจับปลาที่แม่น้ำสุมิดะ แต่แล้ววันหนึ่งจับปลาไม่ได้ซักตัว เลยอธิฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้จับปลาได้ เมื่อทอดแหกลับได้รูปพระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้ว จึงนำกลับหมู่บ้านแล้วได้สร้างวัดขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วไปได้มาสักการะบูชาจนถึงปัจจุบัน
บริเวณของวัดก็จะเจอบ่อน้ำสำหรับล้างมือ เราก็ควรล้างมือก่อนเข้าไปสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำ วิธีการล้างมือก็ไม่แน่ใจนะ แต่ผมเอากระบวยรองน้ำ ล้างมือซ้าย มือขวาตามลำดับ แล้วรองน้ำใส่มือเพื่อดื่ม จากนั้นก็บ้วนทิ้ง ผิดถูกอะไรช่วยบอกด้วย แต่ก็ทำแบบนี้ไปทั้งทริปแล้วแหละ
พระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำ
ใครอยากลองเสี่ยงเซียมซีก็ทำได้
ถ้าได้คำเซียมซีที่ความหมายดีเราก็เก็บไว้ แต่ถ้าความหมายไม่ดีก็ให้ผูกตามในรูปเพื่อให้ทางวัดนำไปสะเดาะเคราะห์
เริ่มเย็นก็จะไปตลาดอะเมะโยโกะเพื่อตามหาคิทแคทของเราต่อ วิธีไปคือใช้รถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza สถานีอยู่ใกล้ๆวัดเลย แต่คนละแห่งจากตอนมานะ อันนี้จะใกล้กว่า ใช้เวลานั่งรถไฟไปยังสถานีอูเอโนะ (Ueno) ประมาณ 5 นาที
แผนที่ Tokyo Metro
จอแสดงผลจะแสดงเวลาว่าจะถึงสถานีภายในกี่นาที
สถานีอูเอโนะค่อนข้างเป็นสถานีใหญ่ จะหาทางออกก็พยายามหาที่ออกไปสวนอูเอโนะ
ออกมาจากทางเดินใต้ดินเราต้องเดินผ่านสถานีอูเอโนะของ JR โดยตลาดจะอยู่เลียบทางรถไฟฝั่งตรงข้ามของสถานีของ JR ตลาดอะเมะโยโกะจะเป็นตลาดของสด มีของฝากราคาและของใช้ถูก ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า รองเท้า คล้ายตลาดนัดจตุจักรบ้านเรา แต่ช่วงที่ผมไปมันเป็นช่วงเย็นมาก 5 โมงกว่า ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดไปแล้ว เที่ยวตลาดมาเช้าๆน่าจะดีกว่า
สถานีอูเอโนะ (JR)
ตลาดอะเมะโยโกะจะอยู่ฝั่งซ้าย
ท่าทางคนไทยก็มาเยอะ บางร้านถึงกับมีภาษาไทยให้ด้วย แต่คนไทยก็เยอะจริง เพราะเจอมากับตัวคือเราจะมาความสามารถในการแยกคนไทยออกจากยุ่นได้ มองปุ๊ปเดาได้เลยว่าคนไทย เที่ยวตลาดนี้ก็เจอหลายกลุ่ม แต่ตัวผมเองจะไม่แสดงตนว่าเป็นคนไทย เพราะมาคนเดียวไม่ต้องคุยกับใคร (ยกเว้นระหว่างถ่ายคลิปนะ ที่จะพูดอยู่คนเดียว) ถ้าจะพูดเราจะพูดภาษาอังกฤษ ปนญี่ปุ่นแบบงูๆปลาๆบ้าง ตลาดนี้คนไทยเยอะ เดาได้ว่าพ่อค้าแม่ค้าพูดภาษาไทยได้ จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ อันนี้เป็นการเดา
เดินมาเกือบสุดทางสะดุดกับร้านนึงเข้า เป็นร้านใหญ่เลยอยู่ซอยข้างๆ ที่สะดุดเพราะเจอคิทแคทถุงใหญ่หลายรส ราคาถุงละ 234 เยน ถูกมากกกก!! เลยจัดไป 4 รส ได้แก่รสชาเขียว, รสราสเบอร์รี่, รสดาร์กช็อกโกแลต และคิทแคทอบ ภายในร้านมีของฝากอื่นอีกเยอะแยะเลย ร้านเดียวกันเปิด 2 ฝั่งขายของต่างกัน ส่วนมากเป็นขนม สรุปหมดกับร้านนี้ไปเยอะเหมือนกัน  ตอนจ่ายเงินเนื่องจากผมซื้อขนมเยอะมาก ผมก็ยื่นแบงค์ 10,000 เยนให้ คุณป้าแคชเชียร์เขาทำท่าทางเหมือนเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะ 10,000 เยนมันไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆเลย ของที่เราซื้อก็แค่ไม่กี่พันเยน (พอดีอยากแตกแบงค์ย่อยด้วยแหละ) เขาก็รับเงิน แล้วชูขึ้นพูดภาษาญี่ปุ่นทำนองว่าตอนนี้ฉันรับเงิน 10,000 เยนให้คนอื่นได้ยิน เงินทอนนางก็นับเสียงดังถึง 2 รอบ ในใจเราก็อึ้งไปไม่น้อย งงว่าเขาประจานเราหรือว่าอย่างไร แต่ถ้านึกมองอีกมุมนึง การกระทำแบบนี้แสดงว่าคนญี่ปุ่นมีความซื่อสัตย์สูงมาก ทอนเงินก็ต้องนับให้ดูเพื่อให้เราแน่ใจว่าเขาทอนเงินถูกต้อง
คิทแคทหลายรส ราคาถูกด้วย
ซื้อของเสร็จเรียบร้อย สภาพก็ดูในวิดีโอแล้วกัน นึกภาพก็จากที่โตเกียวสกายทรี+ถุงขนมหนักๆอีก 3-4 ถุงใหญ่ สภาพตอนนั้นคือ "OVERLOAD"

เลยนึกว่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้ มือซ้ายถือถุงขนมเยอะแยะ มือขวาถ่ายวิดีโอ บนตัวก็แบกอุปกรณ์หนัก ไม่มีใครช่วยด้วยสิ ที่คิดตอนนั้นคือต้องหาที่นั่งให้ได้ ในหัวมีอยู่ที่เดียวคือสวนอูเอโนะ เลยเดินไปทันที ข้ามถนนมานิดเดียวก็ถึง เราก็ได้นั่งพักสมใจ อากาศเย็นสบาย
สวนอูเอโนะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางโตเกียว ช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกซากุระที่สวนนี้จะบานสวยงาม คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจะชอบมาชมบรรยากาศสวยงามของดอกซากุระกันอย่างหนาแน่น
เห็นตู้ล็อกเกอร์แล้วอิจฉาคนญี่ปุ่นที่มีที่เก็บของแทบทุกที่ แม้แต่กลางสวนแบบนี้
ผมขอเตือนว่าถ้าแต่งตัวเป็นนักท่องเที่ยว จะมีพระที่จะคอยตามเรา และจะยื่นรูปเจ้าแม่กวนอิมแล้วขอเงินบริจาคจากเรา ผมก็จะหนีนะ บอกว่าไม่เอา แต่สภาพร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ บวกกับพระพูดอังกฤษได้อีกต่างหาก เลยต้องยอมเสียแค่ 100 เยน เพราะเรามีแค่นั้นจริงๆ เงินหมดกับการซื้อขนมทั้งวัน ใครเจอก็ระวังด้วย เพราะเท่าที่ดูแล้วชาติอื่นเค้าให้ไปหลายพันเยนอยู่
อยู่ที่นี่ไม่นาน อยากเดินชมสวนอูเอโนะนะแต่พื้นที่ใหญ่มันมาก ถ้าให้เดินต่อไปอีกมีหวังวู้บกลางทางแน่ๆ เลยขอจบวันที่ 2 ตรงนี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลอีก โดยกลับไปโรงแรมที่อิเคะบุคุโระด้วยรถไฟ JR สาย Yamanote ที่สถานีอูเอโนะ โดยใช้ Japan Rail Pass
 
รถไฟสาย JR Yamanote
สรุปวันนี้หมดไปประมาณ 3 พันเยนกับขนมที่มีเยอะมากๆ ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสได้หาซื้อขนมอะไรที่โตเกียวอีกแล้ว

จากการกลับมาคิดที่โรงแรมอีกทีก็ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองหากไม่เปลี่ยนแผนไปช้อปแต่เช้าและตอนเย็นไปโอไดบะอีก ถ้าทำอย่างนั้นไปคงเป็นลมอยู่ที่ไหนซักที่ คิดถูกแล้วที่เปลี่ยนแผน รสชาติของการเที่ยวคนเดียวมันเริ่มเผ็ดร้อนแล้ว...

แผนที่เส้นทางการเดินทางโดยประมาณ 
สีแดงคือเส้นทางการเดินทาง สีน้ำเงินคือเส้นทางไป-กลับจากโรงแรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น