วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เที่ยวอเมริกาด้วยตัวเอง วันที่ 6 เที่ยว Universal Studios

*บทความนี้เล่าถึงประสบการณ์ที่ไปเที่ยวเมื่อปี 2552

อ่านวันที่ 1 วันอันวุ่นวาย
อ่านวันที่ 2 เที่ยว Disneyland 
อ่านวันที่ 3 เที่ยว California Adventure
อ่านวันที่ 4 เที่ยว SeaWorld
อ่านวันที่ 5 วันเก็บตก

วันที่ 6
วันนี้เราไปเที่ยวยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ฮอลลีวู้ด (Universal Studios Hollywood) เป็นอีกธีมพาร์คที่มีธีมมาจากภาพยนต์ต่างๆของ Universal แล้วก็เป็นสตูดิโอที่ไว้ใช้ถ่ายทำภาพยนต์จริงๆ เราเดินทางด้วยทัวร์เดียวกันกับที่ไป SeaWorld เพราะให้โรงแรมจองให้เหมือนกัน การเดินทางก็เหมือนกับวันนั้นเลยคือรอรถบัสของทัวร์มารับที่โรงแรมแถวดิสนีย์แลนด์ไปที่จุดปล่อยรถบริษัทเพื่อจ่ายเงิน (ราคาถ้าจำไม่ผิดประมาณ 80กว่าเหรียญต่อคน) แล้วก็ขึ้นรถที่จะไป Universal Studios วันนี้คนขับรถของเราเป็นคนผิวดำ เปิดตัวด้วยการทำเสียงกรนขณะขับรถ (เหมือนเขาชอบทำมากด้วย) ระหว่างทางเขาก็บรรยายสิ่งรอบข้างตลอดเส้นทางเหมือนคุณปู่คนที่ขับพาเราไป SeaWorld เพียงแต่สิ่งรอข้างวันนี้ส่วนใหญ่เป็นตึกเพราะเราต้องผ่านตัวเมืองลอสเองเจลิส ประมาณ10โมงก็มาถึง Universal Studios เค้าก็ปล่อยให้เราไปตามอัธยาศัย 
ลูกโลกหน้าทางเข้า
เราเดินเข้าไปข้างในผ่านกลุ่มพนักงานที่ค่อยแนะนำสิ่งต่างๆของที่นี่ แล้วก็มีพนักงานผู้หญิงจีนคนนึงเดินเข้ามาถามพวกเราว่าพูดภาษาจีนรึเปล่า พ่อผมก็บอกไม่เราพูดภาษาไทย จากนั้นพนักงานคนนี้ก็พูดว่า"สวัสดีค่ะ"แล้วก็แนะนำว่าควรไปเล่นไปชมอะไรบ้างด้วยภาษาไทยที่ไม่ถึงกับคล่องแต่ฟังรู้เรื่อง แสดงว่าคนไทยมาที่นี่เยอะเหมือนกัน เค้าแนะนำให้เราไปที่ Studio Tour ก่อนเลยเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของที่นี่ แล้วก็แนะนำโชว์ที่สนุกอย่าง Waterworld: A Live Sea War Spectacular และ T2 3-D: Battle Across Time (ปัจจุบันปิดไปแล้ว)

จากนั้นเราก็เดินไปยังทางเข้า Studio Tour โดยระหว่างทางที่กำลังเดินไปก็มีคนแต่งชุดตัวละครจากหนังเรื่องต่างๆให้ถ่ายรูปเยอะแยะ
ทางเข้า Studio Tour
Studio Tour เป็นการนั่งรถรางประมาณ 1ชั่วโมงชมสตูดิโอ,ฉากและรถที่ใช้ถ่ายทำในหนังจริง รวมทั้งเอฟเฟคต่างๆที่สมจริงเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ภัยพิบัตจริงๆ ถ้าอยากใครมาชม ขอแนะนำให้เข้าตอนเพิ่งเปิดเพราะคนเข้าแถวไม่มีเลย เรามาเนี้ยก็เดินขึ้นรถเลย แต่ตอนเย็นๆคนจะต่อคิวเยอะมาก สวนสนุกนี้ตั้งอยู่บนเขา เราต้องเดินลงเขาเพื่อไปยังจุดจอดรถราง และก่อนทางลงก็มีวิวที่สวยงามให้ชมด้วย

วิดีโอบรรยากาศใน Studio Tour (ภาพไม่ค่อยชัดเพราะเป็นของเก่า)
แต่ครั้งนี้มีฉากบางส่วนที่ไม่สามารถชมได้เพราะมีเหตุการณ์ไฟไหม้ปีก่อนหน้านี้ทำให้ต้องมีการซ่อมแซม
โดยรวมแล้วก็ทำได้น่าสนใจ ทำให้เราเข้าใจว่าหนังแต่ละเรื่องเค้าสร้างกันอย่างไร

เสร็จแล้วเราก็ไปยัง T2 3-D: Battle Across Time เป็นการแสดงสดที่ผสมกับหนัง 3มิติโดยมีธีมจากภาพยนต์เรื่อง Terminator 2 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว ภายในตกแต่งให้ไฮเทคมีกล้องวงจรปิดและคอมพิวเตอร์รอบๆ การแสดงจะเริ่มตั้งแต่ตอนรอคิว โดยระหว่างรอก็มีคอมพิวเตอร์คอยพิมพ์สื่อสารกับคนที่รอ(แล้วมันสั่งให้พูดอะไร คนอเมริกันก็ทำตามมันด้วย)
แล้วก็มีนักแสดงออกมาปรากฏด้วย แล้วเหมือนมีเหตุการณ์ผิดปดติเล็กน้อยกับคอมพิวเตอร์ นักแสดงก็ยิ้มแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเราก็เข้าไปในโรงหนังเพื่อชมเหมือนงานเปิดตัวเจ้าหุ่นยนต์สังหารแล้วทุกอย่างก็ผิดพลาดเมื่อหุ่นยนต์สังหารเกิดไม่ฟังคำสั่ง ยิงไปทั่ว แล้วเอฟเฟคประกอบก็เกิดจากหนังสามมิติ จากนั้นนักแสดงอาร์โนลด์ก็ขับมอเตอไซค์เข้ามาไล่ยิงและต่อสู้กับหุ่นยนต์สังหารตัวอื่นทั้งในจอและนอกจอ โดยรวมเป็นโชว์ที่ผสมผสานการแสดงกับหนัง 3มิติที่ทำให้เหมือนจริงมาก เป็นประสบการณ์แปลกใหม่อีกรูปแบบนึง

หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็ไปดูการแสดงสดอีกอันนึงคือ Waterworld: A Live Sea War Spectacular เป็นรอบแรกของวัน (ผมจำเวลาไม่ได้ แต่วันนึงมีไม่กี่รอบเท่านั้น) เป็นโชว์นึงที่เก่าแก่และคลาสิคของที่นี่ เนื้อหามาจากภาพยนต์เรื่อง Waterworld โดยจะนำนักแสดงจากหนังฮอลลิวู้ดดังๆหลายเรื่องมาแสดง แต่พวกเขาเป็นแค่ตัวประกอบในหนังที่เขาแสดงนะ 
ป้ายหน้าทางเข้า Waterworld
รายชื่อและหน้าตาของนักแสดง ล้วนมีแต่ผลงานหนัง,ซีรีย์ดังๆทั้งนั้น
โชว์เป็นโชว์สตั๊นท์ที่มีเอฟเฟคระเบิดมากมาย และถ้าใครอยากเปียกก็ที่นั่ง 3ขั้นแรกเป็น Soak Zones 
ความยาวของโชว์ประมาณไม่เกิน 20นาที

วิดีโอตัวอย่างการแสดง (ไม่ชัดเหมือนเดิม)
พื้นที่การแสดง
โชว์จบเค้าก็มีให้ถ่ายรูปกับนักแสดง ผมก็ได้ไปถ่ายมาหมดเลย
พระเอก แสดงโดย Seth Duhame
นางเอก แสดงโดย Helena Barrett
หัวหน้าตัวร้าย แสดงโดย Greg Dolph (ซ้าย)
ลูกน้องตัวร้าย 
แสดงโดย Loren Dennis (ขวา)
ลูกน้องตัวร้าย แสดงโดย Rico Burgos (ซ้าย) 
ลูกน้องตัวร้าย 
แสดงโดย Vernon Lewis (ขวา)

หลังจากดูโชว์แล้วเราก็เดินไปอีกโซนนึงคือโซน Lower lot (ที่เราอยู่ก่อนหน้านี้คือ Upper lot) เป็นโซนที่อยู่ด้านล่างต้องเดินลงเขาไป โซนนี้มีเครื่องเล่นและสิ่งให้ชมอยู่หลายอย่าง อากาศร้อนๆผมก็ขอเปียกกับเครื่องเล่น Jurassic Park: The Ride เป็นเครื่องเล่นในธีมภาพยนต์เรื่อง Jurassic Park ซึ่งให้เรานั่งเรือชมดินแดนไดโนเสาร์ที่เค้าทำเหมือนจริงสวยงามมากทั้งตัวไดโนเสาร์และป่ารอบๆเหมือนเราอยู่อีกโลกจริงๆ แล้วก็มีไดโนเสาร์กินเนื้อหลุดออกมาเป็นเรื่องเป็นราว สุดท้ายเรือก็ดิ่งพุ่งลงมายังน้ำข้างล่างก็เปียกนิดหน่อยเพราะเราใส่เสื้อกันฝน
ป้ายหน้าทางเข้า Jurassic Park


เดินไปอีกนิดนึงก็มีอาคารที่มีการสาธิตเอฟเฟคเกี่ยวกับไฟชื่อว่า Backdraft (ปัจจุบันปิดแล้วเหมือนกัน) ระหว่างรอคิวก็เห็นพนักงานทำความสะอาดอีกฟากของรั้วเข็นถังขยะใบใหญ่แล้วตะโกนบอกคนรอคิวที่มองเขาว่า "The ride, the ride" แปลความหมายง่ายๆคือเขาบอกว่าถังขยะที่เข็นอยู่เป็นเครื่องเล่น ผมมองแล้วก็ขำนิดๆ เมื่อเดินเข้าภายในมีเป็นห้องต่างๆที่ฉายวิดีโอเกี่ยวกับการทำภาพยนต์เรื่อง Backdraft และห้องสุดท้ายเป็นห้องที่เค้าจะสาธิตเอฟเฟคด้วยการเผาทำลายห้อง โดยทุกอย่างถูกควบคุมอย่างดี แต่ผมบอกเลยว่าห้องนั้นร้อนมาก

แล้วเราก็ไปเล่นรถไฟเหอะ Revenge of the Mummy ธีมก็ตามชื่อหนัง เป็นรถไฟเหอะในอาคารไม่ยาวมาก ที่มีระบบกลับตัวรถทำให้รถวิ่งไปข้างหลังได้
เหลือเวลาอีกแค่ประมาณชั่วโมงนึง เราก็ไปเล่นเครื่องเล่นอันสุดท้ายคือ The Simpsons Ride บนโซน Upper lot ซึ่งเป็นเครื่องเล่นจากการ์ตูน The Simpsons ตัวเครื่องเล่นคือให้เรานั่งอยู่ในรถไฟเหอะจำลองที่ติดอยู่กับที่แล้วแค่โยกไปมา ตรงหน้าก็มีจอหนังฉายการ์ตูน The Simpsons โดยเหมือนเราอยู่ในรถไฟเหอะแล้วมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น

พอใกล้หมดเวลาของการเที่ยวที่นี่คือ 4โมงเย็น เราก็กลับไปขึ้นรถบัสกลับด้วยความเหนื่อยล้าโดยผมก็ซื้อชีสฟรายด์ติดมือมาทานบนรถ คนขับก็ไปส่งเราที่โรงแรมเหมือนวันก่อน 

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราค้างที่โรงแรม Jolly Roger ดิสนีย์แลนด์ (เราอยู่ที่โรงแรม Jolly Roger รวมแล้ว 6คืน ราคาห้องที่ว่าจำไม่ได้แต่เพิ่งหาเจอประมาณ 500เหรียญ ถือว่าโอเคเลยสำหรับโรงแรมดีๆใกล้ดิสนีย์แลนด์)

ตอนเย็นๆเราก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก โดยทิ้งน้องไว้ที่โรงแรมคนเดียวเพราะเขาไม่อยากเดินมาด้วย พอเดินไปเรื่อยๆก็เจอคอมมิวนิตี้มอลล์ เราก็ไปเดินเล่นแล้วก็ทานอาหารเย็นที่ร้านพิซซ่าตรงหน้าห้างเอาให้อิ่มสำหรับคืนสุดท้ายที่นี่ แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น